ซิทริน ป้องกันคนรอบข้างหักหลัง ช่วยให้พ้นจากความอัปยศ

ซิทริน เป็นอัญมณีชนิดผลึกเดี่ยวอยู่ในตระกูลควอตช์ เช่นเดียวกับแอเมทิสต์ มีสีเหลือง ส้ม และ ส้มอมน้ำตาล สีเกิดจากธาตุ Fe คำว่า ซิทริน มาจากภาษาฝรั่งเศษ (Citron) แปลว่า เลมอนหรือมะนาวนั่นเอง พบมากในบราซิลและมาดากัสการ์ เป็นแหล่งซิทรินที่มีคุณภาพที่สุด ส่วนแหล่งอื่นๆ ก็มีที่อุรุกกวัย, รัสเซีย, และอเมริกา เป็นต้น


ซิทรินมีความแข็งแกร่งมาก มีความแข็งเท่ากับ 7 ไม่มีแนวแตกเรียบ และมีเสถียรภาพทางเคมี ไม่ทำปฏิกิริยากับสารเคมีทั่วไป จึงเป็นแร่ที่ทนทานต่อการผุกร่อน และทนต่อการทำลายทางเคมีมาก ทำให้ยังคงสภาพอยู่ได้ในรูปของกรวดทรายตามตะกอนทางน้ำและชายทะเล



หลายท่านอาจจะไม่คุ้นเคยกับชื่อซิทรินกันเท่าไหร่ แต่น่าจะเคยเห็นเจ้าซิทรินนี้กันมาบ้างแล้วตามเครื่องประดับต่างๆ ซึ่งมักจะนำมาใช้แทนบุษราคัมกันมาก เพราะมีสีเช่นเดียวกัน มีความเชื่อว่ามีประโยชน์ต่อจิตใจและกระบวนการคิด ช่วยปรับทัศนคติและมุมมองให้เป็นเหตุเป็นผล ลดการใช้อารมณ์ในการตัดสินปัญหา ช่วยให้การสื่อสารระหว่างบุคคลมีความประณีประนอม ก่อให้เกิดความเข้าใจเอื้ออาทรต่อกันมากขึ้น



นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่าซิทรินสามารถปกป้องให้พ้นจากความอัปยศและการทรยศหักหลังได้

ในด้านการบำบัดรักษาซิทรินจะช่วยเยียวยาจิตใจของผู้ป่วยเรื้อรังทำให้มีกำลังใจสู้กับโรคภัยต่อไปได้



ไข่มุกสีทอง เสริมความมั่งคั่ง ร่ำรวยทรัพย์สิน



สำหรับผู้ที่นิยมเครื่องประดับอย่างไข่มุก ซึ่งเป็นเครื่องประดับธรรมชาติที่มาจากสิ่งมีชีวิต ซึ่งในบทความก่อนๆ เราได้พูดถึงไข่มุกไปแล้ว ซึ่งไข่มุกแต่ล่ะสีนั้นจะมีความเชื่อในด้านที่แตกต่างกันออกไป วันนี้เราจะมาพูดถึงไข่มุกสีทองกัน



ไข่มุกสีทองส่วนมากเรามักจะพบได้ในเครื่องประดับพวกสร้อยและแหวน ซึ่งไข่มุกสีทองมีความเชื่อกันว่าจะนำพาทรัพย์สินเงินทองมาให้ผู้สวมใส่



นอกจากนี้ไข่มุกสีทองยังเป้นสัญลักษณ์หรืออัญมณีสำหรับผู้ที่เกิดวันจันทร์อีกด้วย

โมรา ป้องกันภยันตราย เพิ่มทรัพย์สินเสริมความมั่งคั่ง

หินโมราหรืออาเกต
โมรา หรืออีกชื่อหนึ่งคือ อาเกต (Agate) จัดเป็นแร่ที่อยู่ในกลุ่ม คาลซิโดนี (Chalcedony) หมายถึง ควอทซ์ (Quartz) SiO2 กลุ่มที่ไม่มีรูปผลึก มีหลายสี ที่นิยม คือ ฟ้าอมเทาลายขาว หรือฟ้าในเนื้อหิน พบได้ตามโพรงถ้ำและรอยแยกของแผ่นหิน โดยเกิดจากการตกตะกอนของน้ำใต้ดินที่มีส่วนประกอบของซิลิกา (Silica) และยังสามารถเกิดได้จากการหลอมรวมตัวบริเวณใกล้ผิวโลกภายใต้สภาวะอุณหภูมิและความดันต่ำ โมราจัดอยู่ในกลุ่มหินลาวาที่มี ซิลิกา (Silica) เจือปน

อาเกต (Agate) เป็นชื่อมาจากภาษาท้องถิ่น จากชื่อแม่น้ำ "Achate" อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของ ซิชิลี (Sicily) 

หินโมราถูกใช้เป็นเครื่องประดับและใช้ในการตกแต่งมามากกว่า 1,000 ปี ในช่วงยุคกลาง (ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 12 - 15) การสวมใส่เครื่องประดับที่ทำมาจากหินโมราเพื่อให้เป็นที่รักของพระผู้เป็นเจ้า, เพื่อให้คนอื่นยอมรับ, นำชัยชนะ พละกำลัง มาสู่ผู้สวมใส่, ป้องกันภัยจากภยันอันตรายต่างๆ และยังช่วยบำบัดอาการนอนไม่หลับ รวมถึงยังช่วยให้ฝันดีอีกด้วย

สร้อยข้อมือหินโมราสลับคริสตัล


คนโบราณเชื่อกันว่าหินโมราเป็นเหมือนเครื่องรางของขลังที่ใช้กันมาตั้งแต่โบราณ และสามารถป้องกันภยันอันตราย ให้กับผู้เป็นเจ้าของได้ดียิ่ง จึงนิยมพกติดตัว หรือใช้เป็นเครื่องประดับ นอกจากนั้นยังถือกันว่าหินโมราเป็นตัวแทนของทรัพย์สิน ช่วยเพิ่มความมั่งคั่งร่ำรวยให้กับผู้เป็นเจ้าของ  นิยมพกติดตัวเสมอเวลาเดินทาง เพราะเชื่อว่าหินโมรามีตาที่สาม ในสมัยก่อนนิยมนำมาเสี่ยงทายทำนายอนาคตตอีกด้วย

นอกจากนี้บางส่วนของอาวุธในสมัยโบราณ เช่น ขวาน ซึ่งจะถูกใช้โดยผู้ชายเมื่อ 2.5 ล้านปีก่อนนั้น ในพื้นที่แถบ โอโมวัลเล่ (Omo Valley) ปัจจุบันอยู่ในประเทศ เอธิโอเปีย (Ethiopia) ค้นพบว่าขวานโบราณนั้นทำมาจากหินจำพวก ควอทซ์ (Quartz) เช่น หินโมราที่ถูกใช้ในการทำอาวุธในสมัยโบราณนั้นเนื่องจากคุณสมบัติที่แข็งและเปราะทำให้สามารถจัดแต่งเป็นรูปทรงต่างๆได้ง่าย

ชาวอินเดีย จีน และ คนเม็กซิกันมีความเชื่อในเรื่องของหินโมราว่าเป็นเครื่องมือนำพาหรือดึงดูดสิ่งดีดี เช่น ทรัพย์สินเงินตราหรือลาภยศมาสู่ผู้เป็นเจ้าของ คนบราซิลและอิตาเลียนเชื่อว่าหินโมราจะช่วยประสานความเข้าใจระหว่าบริวารลูกน้อง และมีพลังขับไล่พลังด้านลบ หรือเชื้อโรคร้ายในร่างกายปกป้องไม่ให้เซลล์มะเร็งก่อตัว

ชาวอียิปต์เชื่อกันว่า ช่วยป้องกันภยันตรายให้เจ้าของ และเป็นตัว แทน ทรัพย์สิน เพิ่ม ความมั่งคั่ง ช่วยทำให้จิตใจเยือกเย็น สงบ ถ้านำ มากำ ไว้ จะช่วยชำระล้างอารมณ์รุนแรง เร่าร้อน คลายอารมณ์เคร่งเครียด แล้วนำหินไปล้าง เพื่อชำระล้างทิ้งไป นอกจากนั้นยังช่วยสร้าง ภูมิคุ้มกันโรค ให้กับร่างกาย ถ้านำมาวางไว้บนหัวเตียง เชื่อว่า สามารถช่วยเเสริมสมรรถ ภาพพลังทางเพศได้อีก

สร้อยที่ทำจากหินโมราเขียว


หินโมราเป็นหินประจำราศีเมถุนและยังใช้เป็นอัญมณีสัญลักษณ์ของการครบรอบแต่งงานปีที่ 12 (12th Aniversary) ด้วย

ทางด้านการบำบัดรักษา หินโมราช่วยให้เกิดความสมดุลย์ทางร่างกายทั้งทาง กายภาพ, อารมณ์, จิตใจ และจิตวิญญาณ รวมถึงยังสามารถขจัดปัดเป่าอุปสรรคและยังช่วยนำพาสิ่งดีๆมาสู่ผู้สวมใส่

หยกดำ ทำให้เกิดความร่มเย็น สงบในบ้าน

แร่หยกดำที่ยังไม่ผ่านการเจียระไน


ก่อนหน้านี้เราเคยพูดถึงหยกกันไปแล้ว ซึ่งหยกจะมีหลายสีไม่ใช่มีเพียงแค่สีเขียวอย่างเดียว ซึ่งในบันทึกทางประวัติศาสตร์ของจีนบันทึกเอาไว้ว่ามีถึง 9 สีหลักด้วยกันได้แก่ เขียว ขาว ม่วง แดง น้ำตาล เหลือง เทา ดำและน้ำเงิน (ฟ้า) ซึ่งความหมายและความเชื่อของหยกแต่ล่ะสีก็แตกต่างกันออกไปเช่นกัน วันนี้เราจะมาพูดถึงหยกดำกัน

หยกดำที่ผ่านการเจียระไนแล้ว


หยกดำ มักจะถูกนำมาเป็นเครื่องประดับบนร่ายกายและในบ้าน เพื่อเสริมทางด้านฮวงจุ้ย อาจจะวางไว้บนหัวเตียง หรือเอามาใส่บนน้ำพุให้ลูกหยกดำกลมๆกลิ้งไปบนน้ำ เหมือนที่เราเห็นขายกันตามห้างทั่วไป ซึ่งเชื่อว่าหยกดำจะช่วยทำให้เกิดความร่มเย็นภายในบ้าน รวมทั้งรับสิ่งดีๆเข้ามาภายในบ้านและตัวท่านอีกด้วย

พระพิฆเณศแกะสลักจากหยกดำ


ชาวจีนยังเชื่อกันว่าหยกดำเป็นเป็นสัญลักษณะแห่งดิน รวมทั้งยังหมายถึงทรัพย์สินเงินทองอีกด้วย จึงมักถูกนำมาใช้เป็นวัสดุพวกเครื่องรางต่าง รวมทั้งเครื่องประดับบนร่างกายอย่างเช่น กำไล อีกด้วย ซึ่งจะนำพาทรัพย์สินเงินทองและสิ่งดีๆเข้ามาหาตัวผู้สวมใส

กำไลหยกดำ
แหวนเงิน-หยกดำ


สำหรับผู้ที่เกิดวันเสาร์ หยกดำถือเป็นอัญมณีที่ถูกโฉลกกับผู้ที่เกิดในวันนี้ ถ้าหากท่านเกิดวันเสาร์และกำลังมองหาเครื่องประดับซักชิ้นให้ตัวเอง อย่าลืมมองหยกดำเป็นอีกทางเลือกหนึ่งนะครับ


“เดิม หลวงพ่อเงิน พุทธโชติ ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดคงคารามได้เพียง 1 พรรษา ต่อมาก็ได้ย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่ วัดวังตะโก เนื่องจากท่านไม่ชอบความวุ่นวาย เคร่งครัดในพระธรรมวินัย และชอบความสงบ โดยได้สร้างปลูกกุฏิด้วยไม้ไผ่มุงด้วยหลังคาแฝก เมื่อมาจำพรรษาที่นี่เห็นว่าสงบดี จึงได้เป็นธุระสร้างถาวรวัตถุโดยนำเงินจากการสร้างวัตถุมงคล และเงินบริจาค จนทุกวันนี้วัดเจริญรุ่งเรือง และเป็นที่รู้จัก”

วัดบางคลาน หรือ วัด หิรัญญาราม เป็นวัดที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่าน หมู่บ้านวังตะโก และวัดนี้ก็ยังเรียกขานกันว่า “วัดวังตะโก” ลึกเข้าไปทางแม่น้ำสานเก่า ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นแม่น้ำพิจิตร โดยสร้างขึ้นในราวปี พ.ศ.2377 โดยที่หลวงพ่อท่านได้ย้ายมาจากวัดคงคาราม (วัดบางคลานใต้) เมื่อเข้ามาจำพรรษาก็ได้ปลูกกุฏิด้วยไม้ไผ่มุงด้วยหลังคาแฝกอยู่เพียงรูปเดียว พร้อมกับนำกิ่งโพธิ์มาปักไว้ที่ริมตลิ่ง (หน้าพระอุโบสถ) แล้วอธิษฐานว่า “ถ้าท้องถิ่นนี้จะเจริญรุ่งเรืองต่อไป ก็ขอให้โพธิ์ต้นนี้งอกงามแผ่กิ่งก้านสาขาเป็นนิมิตดีต่อไปด้วย” เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นดังตามคำอธิษฐานเอาไว้อย่างน่าประหลาด ต่อมาก็ได้ปรากฏเป็น “วัดวังตะโก” หรือ วัดบางคลาน และได้เจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นวัดที่ชาวบ้านในละแวกวัดมาร่วมพิธีทางศาสนากันอย่างเนืองแน่น และต่อมาก็มีการสร้างเสนาสนะขึ้นความเจริญก็ขึ้นมาตามลำดับ เป็นที่ศึกษาทางวัฒนธรรมและของข้าวของเครื่องใช้วัตถุมงคลของหลวงพ่อเงิน เมื่อครั้งที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ เครื่องปั้นดินเผา สิ่งของเก่าโบราณที่ขุดพบในเมืองนครไชยบวรมีคุณค่า และของโบราณของเก่าที่นับวันจะหายากและสูญหายชาวบ้านก็ได้นำมาบริจาคให้กับ “พิพิธภัณฑ์นครไชยบวร” โดยทางวัดบางคลานได้เก็บรักษาไว้เป็นสมบัติของชาติ ให้ชนรุ่นหลังที่มากราบไหว้ขอพรหลวงพ่อเงินได้ชมและศึกษาเพื่อให้ได้ทราบถึงประวัติและเรื่องราวต่างๆของยุคสมัย


ประวัติของหลวงพ่อเงิน พุทธโชติ บางคลาน วัดวังตะโก เพชรน้ำเอกเมืองพิจิตร ชาติกำเนิด เกิดเมื่อวันศุกร์ ที่ 16 กันยายน พ.ศ.2351 เดือน 10 ปีมะโรง บิดามีนามว่า อู๋ เป็นชาวบ้านบางคลาน มารดามีนามว่า ฟัก เป็นชาวบ้านแสนตอ จ.กำแพงเพชร ซึ่งตรงกับสมัย หลวงพ่อเงินมีที่น้องร่วมสายโลหิตทั้งหมด 6 คน ท่านเป็นคนที่ 4 ของครอบครัว



หลวงพ่อเงิน เมื่อเป็นเด็กมีอายุ 5 ขวบ ได้ไปอยู่ที่กรุงเทพฯ โดยนายช่วงผู้เป็นครูพาไป ลำนำไปผากไว้ที่วัดตองปุ (วัดชนะสงคราม) เพื่อศึกษาเล่าเรียน เมื่อหลวงพ่อเงินท่าสมีอายุได้ 12 ปี จึงได้บรรพชาเป็นสามเณร บวชเป็นสามเณรตนถึงอายุครบบวชเป็นพระภิกษุ จึงได้เข้าอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดชนะสงคราม ได้ฉายาว่า “พุทธโชติ” เมื่ออุปสมบทเป็นที่เรียบร้อยแล้วได้จำพรรษาอยู่ที่วัดชนะสงคราม เพื่อปฏิบัติธรรมวินัยทางวิปัสสนากรรมฐาน ท่านอยู่ได้ 3 พรรษา ขณะที่จำพรรษาอยู่ที่วัดชนะสงครามจึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อศึกษาวิทยาคมเพื่อศึกษาศิลปะวิทยาคมตลอดจนเรียนวิปัสสนาธุระ จนมีความแก่กล้า จึงได้มุ่งศึกษาเรียนพุทธาคมจาก “หลวงพ่อโพธิ์ วัดวังหมาเน่า” เมื่อเรียนจบแล้วจึงกลับบ้านเกิดเมืองนอนที่ อ.โพทะเลไปจำพรรษา ณ วัดคงคาราม (วัดบางคลานใต้) บ้านบางคลาน ต.บางคลาน อ.บางคลาน จ.พิจิตร ท่านจำพรรษาอยู่ได้พรรษาเดียว ต่อมาก็ได้ย้ายไปจำพรรษาจากวัดวังคงคาราม ไปอยู่ที่วัดวังตะโก ซึ่งลึกเข้าไปทางลำน้ำแควพอจิตรเก่า ได้สร้างกฏิ วิหาร โบสถ์ และเสนาสนะจนสมบูรณ์ วัดวังตะโก หรือวัดหิรัญญาราม พระอารามแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อประมาณปีพ.ศ.2377 มีประชาชนมากราบไหว้มิได้ขาด เพื่อถวายตัวเป็นศิษย์ ขอให้ท่านรักษาโรคให้ และมาขอเครื่องรางของขลัง หลวงพ่อท่านทรงเมตตาต่อทุกๆคนที่เข้ามาหาท่าน โดยเฉพาะชาวเรื่อที่ขึ้นร่องสัญจรไปมา พวกพ่อค้าแม้ค้า ได้มาจอดเทียบท่าเรือที่หน้าวัดก็จะมากราบท่านขอน้ำมนต์ไปดื่ม ไปอาบ หลวงพ่อเงินท่าน ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์และสมณศักดิ์เป็นเจ้าคุณฝ่ายวิปัสสนา


หลวงพ่อเงิน ท่านได้มรณภาพ ด้วยโรคชรา และโรคริดสีดวงทวาร เมื่อวันศุกร์ เดือน 10 แรม 11 ค่ำ ปีมะแม เวลา 05.00 น. ตรงกับวันที่ 20 กันยายน พ.ศ.2462 รวมสิริอายุได้ 111 ปี พรรษา 90 การมรณภาพในครั้งนั้น วัดวังตะโก – วัดท้ายน้ำ ชาวพิจิตรและศิษย์ยานุศิษย์ตลอดจนสาธุชนคนทั่วไปที่เลื่อมใสศรัทธาในตัวหลวงพ่อเงิน ได้โศกเศร้าเสียใจอย่างสุดซึ้ง เป็นการสูญเสียพระคณาจารย์ที่ยิ่งใหญ่และพระเถระที่เป็นกำลังสำคัญของพระพุทธศาสนารูปหนึ่ง และท่านเป็นพระเถระที่บริบูรณ์ไปด้วยศีลจารวัตร และมีสมาธิอันมั่นคง โดยเฉพาะเวทมนต์คาถา และวิปัสสนาธุระ ท่านก็มีความเชี่ยวชาญและแก่กล้าในวิทยาคม ท่านได้สร้างคุณงามความดีไว้ให้ลูกหลานได้ศึกษาและสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน



เมื่อ หลวงพ่อเงิน ท่านได้มรณภาพลงทางวัดจึงได้จัดการสร้างรูปหล่อเหมือนหลวงพ่อเพื่อ ให้ลูกศิษย์และผู้ที่เคารพนับถือเข้ามาท่องเที่ยวและได้เข้าไปกราบไหว้สักการะบูชา อธิษฐานขอพร ซึ่งได้ประดิษฐานที่ชั้น 2 ศาลาพิพิธภัณฑ์นครไชยบวร และที่ด้านหน้ามีมณฑปสร้างขี้นอย่างสวยงามมีรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งหลวงพ่อเงิน พุทธโชติ ประดิษฐานอยู่ ส่วนพิพิธภัณฑ์ อยู่ชั้นล่างเป็นที่แสดง พระพุทธรูป พระพิมพ์ต่างๆ เครื่องใช้สอยและวัตถุมงคลต่างๆที่ท่านได้สร้างเอาไว้ ซึ่งเปิดให้เข้าชมทุกวัน และสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ส่วนใหญ่แล้วไม่ทราบ คือ พระเจดีย์ที่เก็บอัฐิธาตุของหลวงพ่อเงิน สร้างขึ้นอยู่ด้านข้างพระอุโบสถ และใกล้กับริมแม่น้ำน่าน หรือแม่น้ำพิจิตร เป็นเขตอภัยทาน มีปลาชุกชุม และท่านที่ไปก็ไปทำบุญให้อาหารปลา ปล่อยปลาต่างๆ ปล่อยหอย ปล่อยเต่า เพื่อเป็นการสเดาะเคราะห์ เพื่อเป็นการช่วยเหลือสัตว์ให้เป็นอิสระและตามความเชื่อว่าปล่อยไปแล้วจะรุ่งเรือง ไม่ติดขัด ทำการใดก็คล่อง



หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน เมื่อครั้งที่ท่านนั้นยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้ให้ความเมตตาโดยไม่เลือกชั้นวรรณะเหมือนกันทุกระดับชั้น มีมีประชาชนให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก มีคนมาหาท่านตลอดและไม่ขาดสาย มาถวายตัวขอเป็นลูกศิษย์ มาขอเครื่องมงคลไปบูชา มาให้ท่านรักษาโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อท่านมรณภาพแล้วท่านก็ยังเมตตาให้ความช่วยเหลือสังเกตจากที่มีผู้คนมากราบไหว้ขอพรและสำเร็จ โดยมีการนำสิ่งของมาแก้บนตามเรื่องที่เมาบนไว้เป็นตามคำอธิฐาน



คาถาบูชาหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน

ตั้ง นโม 3 จบ

อะกะ อะธิ อะธิ อะกะ ธิอะ กะอะ

วันทามิ อาจาริยัญจะ หิรัญญะ นามะกัง ถิรัง

สิทธิ ทันตัง มหาเตชัง อิทธิ มันตัง วะสาทะรัง



(สิทธิ พุทธัง กิจจัง มะมะ ผู้คนไหลมา นะชาลิติ

สิทธิ ธัมมัง จิตตัง มะมะ ข้าวของไหลมา นะชาลิติ

สิทธิ สังฆัง จิตตัง มะมะ เงินทองไหลมา นะชาลิติ

พระฉิมพลี จะ มหาลาภัง ภะวันตุเม)




วัดบางคลาน หรือ วัดวังตะโก ตั้งอยู่ที่ ต.บางคลาน อ.โพธิ์ทะเล จ.พิจิตร

ลาพิสลาซูลี หินแห่งความรู้ เสริมปัญญาและสมาธิ



ลาพิสลาซูลีเป็นอัญมณีที่มีลักษณะทึบแสง มีรูพรุน มีความเปราะบาง เกิดจากแร่หลายชนิดผสมผสานกัน ได้แก่ ลาซูไรต์ ฮาวีไนต์ โซดาไลต์ โนเซไลต์ แคลไซล์ และ ไพไรต์ ตัวแร่มีสีน้ำเงินและละอองทอง (แร่ไพไรต์สีเหลืองทอง) ปนอยู่ พบมากใน อัฟกานิสถาน ปากีสถาน รัสเซีย

ลาพิสลาซูลี (Lapis Lazuli) เป็นชื่อที่มาจาก 2 ภาษาคือ ภาษาละติน คำว่า ลาพิส แปลว่าก้อนหิน ภาษาอาหรับ คำว่า อาซูล แปลว่าสีน้ำเงิน



ในสมัยโบราณ ชาวอียิปต์เชื่อกันว่าเป็นหินแห่งสวรรค์ แหล่งพลังของพระเจ้า และเป็น เครื่องชี้นำ ให้โมเสส ได้ร่างบัญญัติ 10 ประการขึ้นมา เป็นหินแห่งความรู้ เป็นสัญลักษณ์แห่งพลังอำนาจ เสริมสร้างสติปัญญา มีพลัง แห่งการหยั่งรู้ และเปิดตาให้ค้น พบสัจธรรมและความเป็นจริง มีพลังในการ ปกป้อง คุ้มครองสูงมาก ช่วยในการ ถอนพิษ หรือบำบัดอาการ ระคายเคืองในดวงตา ลำคอ ในสมัยโบราณจึงถูกเรียกว่าซัฟไฟร์ เพราะลักษณะโดยทั่วไปของพลอยเป็นสีน้ำเงิน ลาพิสลาซูลีที่มีคุณภาพดีที่สุด คือ เปอร์เชี่ยน ลาพิส (Persian Lapis) มีสีน้ำเงินอมม่วงเข้ม อาจมีหรือไม่มีไพไรต์ (Pyrite) และไม่มีคาลไซท์ (Calcite) ลาพิสลาซูลีชนิดนี้จะหายาก แหล่งกำเนิดที่ดีคือ อัฟกานิสถาน



ลาพิสลาซูลี ช่วยให้ทำสมาธิได้ลึก และ สามารถใช้ท่องไปในอดีตได้ เป็นหินที่มีพลังทางจิตวิญญาณสูง ซึ่งสามารถใช้ในพิธีต่างๆได้ ยังกล่าวอีกด้วยว่ลาพิสลาซูลีถ่ายทอดความรู้และ ภูมิปัญญาโบราณนำความสงบสุขตลอดจนการยอมรับในตัวตนมาสู่ผู้เป็นเจ้าของ

ในด้านการรักษาลาพิสลาซูลี ช่วยถอนพิษ ขุบเสมหะ เสริมสร้างสติปัญญา มีสมาธิ ช่วยด้านพลังใจในการลบล้างบาป และความชั่วร้ายในอดีต เพิ่มพลังในการหยั่งรู้อนาคต เปิดในให้เห็นสัจธรรม และมีพลังสื่อกับสิ่งเร้นลับ เหมาะกับนักพยากรณ์ โหราศาสตร์
หลายท่านคงอาจจะงงๆว่า ปะการังจัดมาเป็นอัญมณีได้อย่างไร




ปะการังจัดเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กประเภทหนึ่ง มีความแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆตรงที่จะมีโครงสร้างเป็นหินปูนเป็นรูปทรงต่างๆ ห่อหุ้มตัวปะการังที่มีลักษณะอ่อนนุ่มที่อยู่ภายใน รูปทรงของหินปูนมีทั้งแบบเป็นแผ่น เป็นก้อน หรือแบบกิ่งก้านเหมือนต้นไม้ แผ่ขยายออกไปเรื่อยๆจนเป็นแนวปะการัง เจริญเติบโตได้ดีที่อุณหภูมิ 8 - 27 องศา แสงแดดพอประมาณ

ปะการังตัวหนึ่งๆเมื่อโตเต็มที่จะให้กำเหนิดลูกปะการังเล็กลอยไปตามกระแสน้ำ ซึ่งสามารถลอยไปได้ไกลมาก และเมื่อไปเกาะจับตามโขดหินหรือวัตถุที่มีลักษณะแข็ง ปะการังก็จะเริ่มสร้างหินปูนออกมาห่อตัวมันเองและขยายไปเรื่อยๆจนเป็นรูปร่างต่างๆ



ปะการังยังเป็นที่อาศัยของสิ่งมีชีวิตอีกหลายชนิด เช่นปลาและพวกสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง เนื่องจากความแข็งแรงของหินปูนของปะการัง จะช่วยเป็นเกราะให้พวกมันได้เพราะสัตว์ที่อาศัยในแนวปะการังเหล่านี้มีขนาดเล็ก ทำให้มันสามารถซอกซอนเข้าไปหลบตามรู ตามซอกของปะการังจากนักล่าได้เป็นอย่างดี



คนโบราณเชื่อกันว่า ปะการังมีพลังในการปกป้องคุ้มครองผู้ที่เดินทาง โดยเฉพาะการเดินทางไกล การย้ายถิ่นฐาน โดยให้นำปะการังในพื้นที่ติดตัวไปด้วย นอกจากจะเชื่อว่าจะช่วยคุ้มครองการเดินทางให้ปลอดภัยแล้วยังช่วยให้รู้สึกใกล้ชิดกับถิ่นฐานเดิมได้อีกด้วย ชาวฮินดูมักจะนิยมใช้ปะการังในการป้องกันและกำจัดสิ่งชั่วร้ายต่างๆ โดยเฉพาะชาวทะเลจะนิยมแขวนปะการังไว้หน้าบ้าน ยิ่งเป็นบ้านที่มีเด็กแรกเกิดจะต้องมีปะการังแขวนอยู่หน้าบ้านทั้งสิ้น พวกเขาเชื่อว่าปะการังจะช่วยให้ภูติวิญญาณต่างๆที่จะมาเอาวิญญาณเด็กไม่กล้าเข้ามาใกล้บ้านและยังช่วยคุ้มครองภัยต่างๆไม่ให้เกิดขึ้นกับเด็กอีกด้วย



สีของปะการังก็มีผลต่อความเชื่อต่างๆของคนโบราณ อย่างปะการังสีแดงที่เข้มจัด คนที่เป็นผู้นำ หรือนักรบเท่านั้นที่จะสามารถครอบครองได้ สีชมพูจะเหมาะกับนักคิด นักเขียน สีส้มเหมาะกับพ่อค้า นักการเงิน และสีน้ำตาลเหมาะกับผู้ใช้แรงงาน

ในด้านการบำบัดรักษาโรค เชื่อกันว่าจะช่วยให้กำลังใจในยามที่ร่างกายอ่อนแอ ขาดกำลังใจ แต่ชาวอินเดียเชื่อกันว่า ปะการังจะช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศ กระตุ้นพลังทางเพศได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนของเลือด ช่วยรักษาโรคในช่องปาก เหงือกและฟันที่ไม่แข็งแรง ช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับระบบการย่อยอาหาร

ไข่มุกดำ ควบคุมธาตุไฟ เสริมเสน่ห์ชวนหลงใหล

ก่อนหน้านี้ ผมเคยได้พุดถึงไข่มุกไปในบทความ http://jewellerybeliefs.blogspot.com/2010/09/blog-post_679.html สามารถย้อนกลับไปอ่านกันได้ วันนี้เราจะมาพูดถึงไข่มุกดำกัน



เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าไข่มุก เป็นอัญมณีที่แสดงพลังของธาตุน้ำ โดยทางโหราศาสตร์ ได้กล่าวเอาไว้ว่าไข่มุกเป็นอัญมณีตัวแทนของพระจันทร์ สีของไข่มุกที่แสดงถึงพระจันทร์ขณะที่เพ็ญคือไข่มุกสีน้ำนมหรือเหลืองทอง ส่วนสีของไข่มุกที่แสดงถึงพระจันทร์วันแรม 15 ค่ำ (วันอมาวสี) ก็คือไข่มุกสีดำ


ไข่มุกดำนั้นจะแสดงพลังของพระจันทร์ในคืนเดือนแรม ที่แสงของพระจันทร์นั้นจะไม่บดบังแสงของดาวเคราะห์อื่นๆ โดยยอมปล่อยให้ดาวเคราะห์อื่นๆ ได้ส่งพลังงานลงมายังโลกได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นท่านใดที่มีดาวเคราะห์ภาคกลางคืน (ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวเสาร์ ราหู) ในดวงชะตาเข้มแข็งและให้ผลดีกับดวงชะตา จึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะสวมใส่ไข่มุกดำ เพื่อช่วยกระตุ้นให้ดาวเคราะห์เหล่านั้นได้แสดงพลังด้านดีของมันได้อย่างเต็มที่



แต่ไข่มุกดำนั้นก็ไม่เหมาะกับท่านที่มีดาวเคราะห์ภาคกลางวัน (พระอาทิตย์ พระจันทร์ ดาวอังคาร ดาวพฤหัส) ที่เข้มแข็ง เพราะจะไปทำให้ดาวพวกนั้นเกิดการสูญเสียพลังไป จึงควรสวมใส่ไข่มุกสีอื่นแทนจะดีกว่า โดยควรสวมใส่ไข่มุกที่มีสีออกโทนสว่าง เช่น สีขาวน้ำนม สีทอง สีเงินยวงและสีชมพู


ดังนั้นจึงทำให้เห็นว่าพระจันทร์นั้นมีทั้งด้านสว่างและด้านมืด ซึ่งแต่ละด้านของพระจันทร์นั้นก็จะให้ผลต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าด้านไหนของพระจันทร์จะให้คุณกับเราที่สุด และไม่จำเป็นว่าด้านมืดของพระจันทร์จะต้องเป็นเรื่องไม่ดีเสมอไป เพราะบางครั้งด้านมืดของพระจันทร์นั้นสามารถให้คุณมากกว่าด้านสว่างก็ถมไป ขึ้นอยู่กับดวงชะตาของเรามากกว่าว่าเหมาะกับด้านไหนที่สุด



ความเชื่อทางอัญมณีศาสตร์เชื่อว่า พลังด้านบวกของไข่มุกดำ โดยจะทำให้ผู้ที่สวมใส่มีพลังจิตที่เข้มแข็ง คงกระพันชาตรี มีพลังป้องกันและควบคุมภูตผีปิศาจได้ สามารถควบคุมจำกัดพลังของธาตุไฟในร่างกายไม่ให้ร้อนจนเกิดไป (ธาตุไฟแตก) ช่วยรักษาผิวพรรณของผู้สวมใส่ให้ดูอ่อนกว่าวัย เสริมเสน่ห์ชวนหลงใหลน่าค้นหา ช่วยเพิ่มโชคลาภโดยเฉพาะในด้านการเสี่ยงโชคหรือการพนัน

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.horamahawed.com/content.php?cate=gem&id=16

คาร์เนเลียน ก่อเกิดความรอบรู้ ทำให้ความปราถนาเป็นจริง



คาร์เนเลียน (Carnelian) เป็นหินประเภทคัลซิโดนี มีหลายสี ที่มาของชื่อเพราะสีจะเหมือนเมล็ดของลูกเชอรี่ มีลักษณะโปร่งใสจนแสงทะลุได้และแบบทึบแสง พบมากใน อุรุกวัย อินเดีย เปรู เชค
โรมาเนีย

ในอารยธรรมโบราณทางยุโรบ ตะวันออกกลาง อเมริกาหรือทางเอเชีย ได้พบหลักฐานจากแหล่งโปราณสถานต่างๆว่ามีการนำคาร์เนเลียนมาใช้เป็นเครื่องประดับและเครื่องราง เช่น เครื่องประดับของมัมมี่ฟาโรห์ในอียิปต์ โดยเชื่อว่าคาร์เนเลียนจะเป็นเครื่องนำทางดวงวิญาณไปสู่โลกหน้าอย่างปลอดภัย ในทางตะวันออกกลางก็มีการขุดพบหลุมฝังศพของพระนางพูอาบี(Pu-Abi) พระราชินีของอาณาจักร์สุเมเรียน ซึ่งศพถูกประดับด้วยอัญมณีหลายชนิดซึ่งมีคาร์เนเลียนรวมอยู่ด้วย



คาร์เนเลียนมักจะถูกนำมาทำเป็นเครื่องประดับร่างกายชนิดต่างเช่น แหวน สร้อย เป็นต้น รวมทั้งใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา เนื่องจากเชื่อกันว่าคาร์เนเลียนมีอำนาจที่จะคุ้มครองผู้สวมใส่จากภูติผีปีศาจ กระตุ้นให้เกิดความหวังมีความสุขและโชคดี จึงมักจะนำมาประกับตามร่างกายหรือใช้เป็นสัญลักษณ์หรือตราประจำตัว


เชื่อกันว่าคาร์เนเลียนเป็นตัวแทนของพลังธรรมชาติก่อให้เกิดความรอบรู้ ช่วยคุ้มครอง ทําให้ความปรารถนาเป็นจริงตามความคิด กล้ายอมรับความเป็นจริงของชีวิต วงจรชีวิตที่มีการเกิด แก่ เจ็บ ตายปรับปรุงการวิเคราะห์ การหยั่งรู้ เรียนรู้ให้ชัดเจนกระตุ้นธุรกิจให้ประสบผลสําเร็จ รู้จักการเลือกชีวิตให้ถูกต้องขจัดสิ่งรบกวน ทําให้มีสมาธิ ขับไล่อารมณ์เฉื่อยชากระตุ้นร่างกายให้กระปรี้กระเปร่าเลือดสูบฉีดแรงกระตุ้นและเร้าอารมณ์ถ้าสวมใส่เป็นเวลานานติดต่อกัน ป้องกันอาการเกิดอารมณ์โกรธหรือความขุ่นเคืองที่รุนแรง

ในด้านทางการรักษา คาร์เนเลียนมักจะถูกใช้รักษาอาการของคนที่เป็นเนื้องอก ทําให้เลือดหยุดไหล บรรเทาอาการหอบหืด การแพ้อากาศ ผื่นคัน อาการปวดหลังส่วนล่าง มีประโยชน์สําหรับผู้หญิงที่มีระบบรอบเดือนและระบบสืบพันธ์ไม่ปกติหรือไม่สมบูรณ์

มุกดา เสริมความรัก นำมาซึ่งโชคดีและร่ำรวย



มุกดา (moonstone) เป็นแร่แฟลสปาร์ เป็นหนึ่งในนพเก้าของไทย มีทั้งสีขาวหมอกมัวคล้ายหมอกน้ำค้างยามเช้า และสีอื่นๆเช่น ขาว ส้ม น้ำผึ้ง ขาวใส เทา น้ำตาล ส่วนมากแล้วมุกดาจะมีเนื้อขุ่น มีลักษณะพิเศษมีเหลือบรุ้งสีออกฟ้าสีนวลคล้ายดั่งดวงจันทร์



มีความเชื่อว่ามุกดามีกำเนิดจากแสงของพระจันทร์ บางชิ้นเกิดเส้นพาดกลางคล้ายตาแมว (คล้ายปรากฏการณ์ที่พบในไพฑูรย์แต่จะไม่คมชัดมากเท่า) สวยงามมาก ด้วยเหตุนี้จึงนิยมเจียรไนมุกดาเป็นทรงหลังเต่า การใช้งานควรระมัดระวังการกระทบเสียดสี ราคานั้นไม่สูงเพราะหาง่ายแหล่งที่สำคัญเช่น พม่า ศรีลังกา (สองแหล่งนี้คูณภาพสูงที่สุด) อินเดีย มาดากัสการ์ บราซิล สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก แทนซาเนียและอื่นๆ

มุกดาเป็นหินเสริมสิริมงคล นำมาซึ่งความโชคดีและร่ำรวย ช่วยในการรับรู้ความรู้สึกต่างๆได้ดีขึ้น โดยเฉพาะความรัก อีกทั้งยังเป็นตัวแทนของความรัก ความอ่อนโยน และความสงบสุข ช่วยเสริมพลังแห่งความพิศวาสให้กับคู่รัก นอกจากนี้ยังเชื่อว่ามุกดาช่วยให้รวบรวมสติปัญญาและมุมมองดีๆในการแก้ปัญหาได้ดีขึ้น รวมทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของระบบต่างๆ ภายในร่างกายให้เป็นปกติได้อีกด้วย



ในด้านทางการบำบัดรักษา เชื่อว่ามุกดาช่วยบำบัดปัญหาต่อมไร้ท่อ โรคลมชัก ไทรอยด์ ท้องเสีย และยังดีต่อต่อมใต้สมองอีกด้วย

* วิธีใช้เพื่อความรัก ความเมตตาและความสัมพันธ์ระหว่างเพศ กำอัญมณีไว้ในมือ ถ่ายทอดความรัก ความเมตตาผ่านไปที่หินจะรู้สึกดีขึ้น

อำพัน เสริมบารมีรอบด้าน ป้องกันโรคภัย



อำพัน เป็นซากดึกดำบรรพ์ของยางไม้ เป็นสิ่งมีค่าด้วยสีสันและความสวยงามของมัน อำพันที่มีคุณภาพดีเยี่ยมจะถูกนำมาผลิตเป็นเครื่องประดับและอัญมณี แม้ว่าอำพันจะไม่เป็นแร่แต่ก็ถูกจัดให้เป็นพลอย อำพันมีองค์ประกอบเป็นสารเนื้อผสม ประกอบไปด้วยสารมีชันหลายชนิดที่ละลายได้ในเอทานอล ไดเอตทิลอีเทอร์ และคลอโรฟอร์ม รวมถึงสารที่ละลายไม่ได้จำพวกบิทูเมน นอกจากนี้ยังมีสารโมเลกุลขนาดใหญ่จากการเกิดพอลิเมอร์ด้วยการเติมอนุมูลอิสระของสารดั้งเดิมในกลุ่มของแลบเดน กรดคอมมูนิก คัมมูนอล และไบโฟร์มีน[4] สารแลบเดนนี้เป็นไดเทอร์ปีน (C20H32) และไทรอีนซึ่งหมายความว่าเป็นโครงร่างทางอินทรีย์สารของอัลคีน 3 กลุ่มที่ยอมให้เกิดพอลีเมอร์ เมื่ออำพันมีอายุมากขึ้นเรื่อยๆก็จะมีการเกิดพอลิเมอร์มากขึ้นเรื่อยๆเช่นกันพร้อมๆไปกับปฏิกิริยาไอโซเมอร์ การเชื่อมโยงข้าม และการจัดเป็นวง

อำพันหมายถึงแอมเบอร์ในภาษาอังกฤษสืบทอดมาจากคำในภาษาอาราบิกโบราณว่า “แอนบาร์กริส” หรือ “แอมเบอร์กริส” ซึ่งหมายถึงวัตถุที่เป็นน้ำมันหอมที่ขับออกมาโดยวาฬสเปิร์ม ภาษาอังกฤษยุคกลางและฝรั่งเศสยุคเก่าเขียนเป็น ambre ส่วนภาษาลาตินเก่าเขียนเป็น ambra หรือ ambar เป็นวัตถุที่ลอยน้ำได้และมักถูกซัดไปสะสมตัวอยู่ตามชายหาด ด้วยความสับสนในการใช้ศัพท์ มันจึงถูกนำมาใช้เรียกยางไม้ที่กลายเป็นซากดึกดำบรรพ์ซึ่งก็พบได้ตามชายหาดได้เช่นกัน มีน้ำหนักเบากว่าหินแต่ก็เบาไม่เพียงพอที่จะลอยน้ำได้



อำพันที่เก่าแก่ที่สุดพบในยุคคาร์บอนิเฟอรัสหรือประมาณ 345 ล้านปีมาแล้ว ส่วนอำพันที่เก่าแก่ที่สุดที่มีแมลงอยู่ในเนื้อของมันด้วยนั้นได้มาจากยุคครีเทเชียสหรือประมาณ 146 ล้านปีมาแล้ว

ในโลกยุคหินถึงยุคโบราณ ล้วนเชื่อกันว่าอำพันบรรจุรวมไว้ด้วยพลังสุริยะ สมัยกรีกและโรมันเรียกอัญมณีชนิดนี้ว่า อิเล็กตรอน (elektron) ซึ่งหมายถึง "สิ่งที่เกิดจากดวงอาทิตย์" เพราะเห็นว่าอำพันไม่เพียงแต่มีความแวววาว มันยังมีพลังประจุไฟฟ้าด้วยเช่นกัน ทำให้ชาวกรีกบังเกิดความคิดว่า หากผู้ใดนำอำพันมาทำเป็นเครื่องประดับตกแต่งร่างกาย พลังจากอำพันจะช่วยเสริมสร้างพลังชีวิตและช่วยให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง



นอกจากนี้ยังเชื่อว่าจะช่วยเสริมความเป็นมงคลในด้านต่างๆ ได้แก่ ความงดงาม ความรัก เสริมเสน่ห์ด้านความเมตตามหานิยม จิตใจกล้าแข็ง ปกป้องคุ้มครอง บำบัดสุขภาพ และเป็นหินแห่งความโชคดี



ทางด้านการบำบัดรักษา พลังของอำพันจะส่งผลดีในยามที่มีปัญหาวุ่นวาย มีคำถามที่ขบไม่แตกคิดไม่ออกหรือหาทางออกไม่ได้ ให้จุดเทียนสีขาววางไว้บนพื้น ทรุดลงนั้นตรงหน้า กำอำพันก้อนขนาดเหมาะมือไว้ในมือ แล้วให้คิดถึงปัญหาเหล่านั้น พลังของอำพันจะสามารถช่วยเปิดโลกทัศน์ให้คุณมองเป็นหนทางแก้ไข นำความสุขสนุกสนานมาให้แก่ชีวิตคุณได้อีกครั้งหนึ่ง แต่อำพันที่มีคุณสมบัติในด้านการบำบัดเกี่ยวกับสุขภาพร่างกายนั้น ควรเป็นเป็นอำพันที่มีเนื้อใสสะอาด ปราศจากสิ่งแปลกปลอม เช่น ซากพื้นซากสัตว์เพราะให้พลังได้ดีกว่า

โอนิกซ์ ลดความคิดในแง่ลบ กระตุ้นให้เกิดจินตนาการ


โอนิกซ์ (Onyx) จัดเป็นแร่ควอรตซ์ (Quartz) ชนิดไฟบรัซ  (Fibrous varieties) อยู่ในกลุ่มที่มีผลึกละเอียด ชนิดผลึกเป็นเส้นใย แบ่งชนิดโดยใช้หลักของ ความใส, สี, การกระจายตัวของสีและปรากฏการณ์ทางแสง จะแสดงลักษณะสีเป็นแถบแนวขนาน มีเกือบทุกสี ส่วนมากที่พบจะมีแถบสีขาว สีแทน และสีน้ำตาล หรือถ้ามีแถบสีขนานกัน มีสีเหลืองออกน้ำตาลแดงผสมส้ม หรือ สีน้ำตาลเข้ม จะเรียกว่า ซาร์ด (Sard) หรือ ซาร์โดนิกซ์ (Sardonyx) ซึ่งมีสีแดงมากกว่าสีดำ โดยทั่วไปโอนิกซ์จะมีสีดำบริสุทธิ์ และมีความหลากหลายมาก แต่โอนิกซ์มักไม่ค่อยเกิดเป็นแถบสีต่างๆ

โอนิกซ์ ในธรรมชาติส่วนมากเกิดจากการแปรสภาพมาจากอะเกต ชื่อที่นำมาใช้บางครั้งใช้ไม่ถูกต้องกับอุตสาหกรรมวัสดุอัญมณี เช่น แถบสีบนแร่แคลไซต์ (Calcite) ที่พบใน ประเทศเม็กซิโก ปากีสถาน และ สถานที่อื่นๆ ที่มีการแกะสลัก, ขัดและขาย ซึ่งเนื้อของแร่เหล่านี้ จะมีความแข็ง ทนทานน้อยกว่าและแปรสภาพได้ง่ายกว่าแร่โอนิกซ์โดยธรรมชาติ



เชื่อกันว่า โอนิกซ์ เป็นอัญมณีที่ช่วยลดความคิดในแง่ลบ ความเศร้าในจิตใจ ช่วยกระตุ้นให้เกิดจินตนาการ สมองเกิดการเรียนรู้ ช่วยขจัดความหวาดกลัว รักษาอาการประสาทหลอน ส่วนมากมักจะพบเห็นอยู่คู่กับไม้กางเขน เพราะเชื่อกันว่าจะสามารถช่วยขจัดปัญหาและปกป้องคุณจากความยุ่งเหยิงต่างๆ ได้


ผู้หญิงแทบจะทุกคน มักต้องการความมั่นใจเวลาจะเลือกสวมใส่เสื้อผ้า หรือ เครื่องประดับชิ้น ใดชิ้นหนึ่ง ว่าชั้นต้องสวย และดูดีในสายตาคนอื่นๆ และถ้าคุณ เป็นคนที่มักขาดความมั่นใจ ต้องเลือกเครื่องประดับที่มีโอนิกซ์ เป็นส่วนประกอบ

หยก สัญลักษณ์ 5 ประการ ใจบุญ สมถะ กล้าหาญ ยุติธรรม สติปัญญา



หยก เป็นชื่อเรียกรวมของแร่สองชนิดคือ เจไดต์และเนไฟรต์ ซึ่งแร่ทั้งสองมีคุณสมบัติคล้ายคลึงกันและมีรูปลักษณ์เหมือนกันมาก จะมีสีแตกต่างกันออกไปตั้งแต่สีขาวนวลไปจนถึงดำ ซึ่งสีของหยกที่ต้องการกันมากที่สุดจะเป้นสีดำและเขียว

คำว่าหยกมีต้นกำหนดมาจากภาษาสเปน piedra de la ijada แปลว่า หินสีข้าง (ได้รับชื่อนี้เพราะชาวอินเดียวแดงนิยมนำมาใช้รักษาโรคไต ซึ่งต่อมานักผจญภัยชาวสเปนค้นพบว่าหยกสามารถรักษาโรคไตได้จริง)

มีความเชื่อมากมายเกี่ยวกับหยก โดยเฉพาะในประเทศจีน โดยชาวจีนจะเรียกหยกว่า หยู หรือ หยุก หรือ เง็ก ซึ่งถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิที่สวรรค์ประทานมาให้ หยกเป็นสัญลักษณ์ 5 ประการคือ ใจบุญ สมถะ กล้าหาญ ยุติธรรม และมีสติปัญญา ความแข็งและความหนาแน่นของเนื้อหยกนั้นเปรียบเสมือนความฉลาด และความกล้าหาญ ความลื่นเป็นมันของผิวหยกคือ ความยุติธรรม และการให้ความรู้สึกที่นุ่มนวลเป็นเครื่องหมายของความกตัญญูรู้คุณ



ชาวจีนมักนำหยกมาแกะเป็นรูปสัตว์ต่างๆเช่น ปลา เต่า จิ้งหรีด หน้าเสือ หน้าเสือสองหน้า บางทีก็ประกอบกับความเชื่อ เช่น นำมาแกะเป็นรูปกลมแบนมีรูตรงกลาง เป็นสัญลักษณ์ของสวรรค์ รูปสี่เหลี่ยม เป็นสัญลักษณ์ของโลก ชาวจีนทั่วไปมักจะให้ลูกหลานของตนพกหยกติดตัวไว้เสมอ ถ้าเป็นเด็กหญิงจะสวมกำไลหยก แต่ถ้าเป็นเด็กชายก็จะพกเครื่องใช้ที่ทำด้วยหยกหรือจี้พระหยก เมื่อเสียชีวิตหยกก็จะถูกฝังลงไปพร้อมกับศพ เนื่องจากเชื่อกันว่าหยกสามารถรักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อยได้



ในด้านการบำบัดชาวจีนเชื่อกันว่าหากกินหยกบดละเอียดจะช่วยรักษาโรคไต โรคเจ็บสีข้าง โรคโลหิตจาง โรคหอบหืด ได้


บุษราคัม (Yellow sapphire) เป็นอัญมณีประเภทคอรันดัมที่มีสีเหลือง พบได้จากแหล่งเดียวกันกับทับทิม ไพลิน เขียวส่อง เป็นต้น ส่วนใหญ่มาจากการเผายคอรันดัมที่มีสีเหลืองจาง มักจะมีสีอื่นปนบ้างจึงทำให้มีสีสวยงามเข้มขึ้น ราคาสูง บุษราคัมส่วนมากจะมีสีดังนี้


  • เหลืองอ่อน           เรียกว่า บุษย์น้ำเพชร
  • สีอมเขียว             เรียกว่า บุษย์น้ำแตง
  • สีเหลืองทอง         เรียกว่า บุษย์น้ำทอง
  • สีคล้ายเหล้า         เรียกว่า บุษย์น้ำแม่โขง
  • สีเหลืองเข้มมาก    เรียกว่า บุษย์น้ำขมิ้นเน่า
  • สีเหลืองออกส้ม     เรียกว่า บุษย์น้ำจำปา 


บุษราคัมที่เรียกว่าบุษย์น้ำแม่โขงและน้ำทองเป็นที่นิยมจะมีราคาแพง การเลือกควรเลือกพลอยที่เจียรไนได้สัดส่วน ก้นไม่บางจนเกินไป ใสไม่มีตำหนิที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า พลอยจึงจะมีประกายงดงาม



กล่าวกันว่าบุษราคัมเป็นอัญมณีที่ทรงอำนาจในการผูกมิตร เพราะทำให้เกิดความซื่อสัตย์ต่อกัน ไม่มีวันโรยรา อีกทั้งยังก่อให้เกิดสติปัญญาดี ความกล้าหาญและขจัดปัดเป่าความทุกข์  อำนาจลึกลับดังกล่าวนี้เชื่อกันว่า เพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ตามวิถีแห่งดวงจันทร์ ชาวอินเดียเชื่อกันว่าพลอยเม็ดแรกในชีวิตควรเป็นบุษราคัมเพราะเชื่อว่าพลอยที่มีสีเหลืองนี้สามารถนำโชคลาภ และ เสริมบารมี วาศนา มาให้ได้ ส่วนชาวยุโรปเชื่อว่า สีเหลืองของอัญมณีนี้มีความสัมพันธ์กับดวงอาทิตย์ และยังส่งเสริมการตัดสินใจในทางที่ถูก ทั้งยังช่วยเพิ่มความสามารถในการติดต่อสื่อสาร



สำหรับในประเทศไทย เชื่อกันว่าพลอยบุษราคัมเป็นพลอยประจำวันเกิดที่จะช่วยเสริมบุญบารมี และ ศิริมงคล ให้มากขึ้นดังนี้

คนเกิดวันอาทิตย์    จะช่วยเพิ่มความขยัน และ อดทน
คนเกิดวันจันทร์      จะช่วยให้มีที่ดินมากขึ้น
คนเกิดวันอังคาร     จะช่วยให้มีความร่ำรวยมากขึ้น
คนเกิดวันพุธ         จะช่วยให้มีอำนาจมากขึ้น
คนเกิดวันพฤหัสบดี จะช่วยให้มีบริวารรักมากขึ้น
คนเกิดวันศุกร์        จะช่วยให้มีผู้ใหญ่รักมากขึ้น
คนเกิดวันเสาร์       จะช่วยให้มีอายุยืนยาว



ทางด้านการรักษา บุษราคัม เป็นซัฟไฟร์ที่มีสีเหลือง เกิดจาการที่มีธาตุเหล็กประปนอยู่ เชื่อกันว่าจะช่วยให้เกิดความสดชื่น รักษาอาการติดเชื้อต่างๆ และช่วยควบคุมจิตใจให้สงบ

มรกต ช่วยบำรุงสายตา มองเห็นภาพอนาคต



มรกต (Emerald) เป็นแร่รัตนชาติหรืออัญมณี ที่มีสีเขียว โดยเกิดจากการผสมกันระหว่างโครเมี่ยมกับเบริล ที่มีสีเขียว คุณภาพของมรกตอยู่ที่สีหากมีสีเขียวทั่วทั้งเม็ดก็จัดว่าคุณภาพสูง  ตำหนินั้นมรกตธรรมชาติทุกชิ้นจะต้องมีทั้งสิ้น ลักษณะเป็นเส้น ริ้วสีขาว จุดสีดำ สีสนิม ฝ้าขาวขุ่นตามธรรมชาติ รอยริ้วที่ดุคล้ายรากผักชีเรียกว่า Jardin หรือสวนแห่งมรกต มรกตคุณภาพดีหรือไม่ดีก็มีทั้งสิ้น แต่พิจารณาปริมาณ และการวางตัวของตำหนิ ซึ่งอาจจะมีผลกับการส่องประกายแสงออกมาจากมรกต หากมีมากไปพลอยจะดูทึบแสง ไม่มีประกายซึ่งมักได้รับการเจียรไนแบบหลังเบี้ย หรือหลังเต่า  แหล่งที่สำคัญมากและโด่งดังไปทั่วโลกคือ มรกตจากโคลัมเบีย ซึ่งได้รับการยกย่องว่างามที่สุดในโลกราคามักสูงกว่าแหล่งอื่นๆและถูกกล่าวอ้างถึงบ่อยๆ



มรกตเป็นอัญมณีประจำเดือนพฤษภาคม เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ ร่ำรวย ร่มเย็น เชื่อกันว่ารักษาโรคบิด และเป็นยาระบายได้ในความหมายทางด้านสรีระ มรกตเป็นแร่ธรรมชาติที่ช่วยบำรุงสายตา และในความหมายทางด้านพลังจิต มรกตส่งเสริมการมองเห็นภาพอนาคต เชื่อกันว่ามรกตช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประทับสิ่งต่าง ๆ ให้เข้าไปสู่จิตใต้สำนึก และช่วยให้จิตใตผ่อนคลายกระตุ้นให้รู้สึกสดชื่นขึ้น



ทางด้านการบำบัดรักษา มรกตใช้บำบัดอาการผิดปกติเกี่ยวกับสายตา มรกตยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นมิตรและความสัมพันธ์ที่จริงใจหากเกิดตำหนิแตกร้าวใหม่ขึ้นบนเนื้อมรกตย่อมเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า ความสัมพันธ์ที่กำลังดำเนินอยู่ กับใครบางคนกำลังประสบปัญหาหรือไม่ เช่นนั้นก็กำลังจะจบลงในไม่ช้า




อความารีน (Aquamarine) เป็นหินตระกูลเบอริล(Beryl) เนื่องจากมีเฉดสีฟ้าหลายเฉดเหลือเกิน สีฟ้าเข้มจะหายากและเป็นที่ต้องการมากที่สุด ส่วนใหญที่พบมักจะสีไม่เข้มมากนัก มีส่วนประกอบทางเคมีคือเบอริลเลี่ยม อะลูมีเนี่ยม ซิลิเกตแม้จะอยู่ในตระกลูเบอริลเหมือนมรกตแต่ว่าเนื้อของอความารีนจะกระจ่างใสกว่ามรกต

Aquamarine มาจากภาษาละติน แปลว่า น้ำทะเล ซึ่งเป็นสีของอัญมณีชนิดนี้ สีของอความารีนซึ่งเกิดจากธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบ  มีตั้งแต่สีฟ้าอมเขียวไปจนถึงสีเขียวอมฟ้า เนื่องจากสีฟ้าเข้มเป็นที่นิยมมากที่สุด จึงมีการปรับปรุงคุณภาพของอความารีนโดยการเผาเพื่อขจัดสีเขียวออกไป อความารีนเป็นอัญมณีที่ดึงดูดใจหญิงสาวทั่วโลกเนื่องจากสีฟ้าใสที่เย็นตา นอกจากนี้ยังเป็นอัญมณีที่บรรดานักออกแบบชื่นชอบและเลือกนำไปทำ เป็นเครื่องประดับต่าง ๆ มากมาย

จากนิทานเก่าแก่ของอิตาลี ได้กล่าวไว้ว่า เทพเนปจูน เทพแห่งมหาสมุทรได้มอบอความารีนให้เป็นของกำนัลแก่นางเงือกเสมอ นักเดินเรือในสมัยโบราณเชื่อว่าอความารีนเป็นหินนำโชค สามารถคุ้มครองพวกเขาจากภยันตรายต่าง ๆ จากทะเลได้ และยังช่วยไม่ให้เมาคลื่นด้วย พอถึงยุคกลางของยุโรป เชื่อกันว่า อความารีนนจะช่วยให้ผู้สวมใส่สามารถเอาชนะความชั่วร้ายที่เข้ามารังควานได้


อความารีนเป็นหินประจําเดือนเกิดของคนราศีมีน โดยที่มีหินอีกชนิดหนึ่งคือ บลัดสโตนร่วมอยู่ในราศีนี้ด้วยและเป็นหินที่ฉลองการครบรอบแต่งงานปีที่ 16 และปีที่ 19 อีกด้วยด้วย แหล่งของอความารีนอยู่ที่อเมริกา เม็กซิโก อินเดีย ไอร์แลนด์ ซิมบับเว อาฟกานีสถาน ไนจีเรีย ยูเครน บราซิล มาดากัสการ์ แซมเบีย โมแซมบีค ปากีสถาน บางแห่งถือว่าอความารีนเป็นสัญลักษณ์ของความงามความซื่อสัตย์และความจงรักภักดี

อัญมณีสีฟ้าเป็นสีที่ให้ความรู้สึกสงบ มองดูเยือกเย็น มีพลังในการขจัดความสับสนวุ่นวายภายในจิตใจได้ ดังนั้น หากสวมใส่อความารีนไว้ก็จะช่วยคลายความวิตกกังวล หรือความคิดด้านลบออกไปได้ นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความรู้สึกไว้วางใจกัน ความเข้าใจกัน ทำให้สัมพันธภาพยั่งยืนนาน หากคู่รักเลือกใส่อะความารีนก็จะช่วยให้ชีวิตแต่งงานมีความสุข



ทางด้านการบำบัดรักษา อความารีนมีพลังช่วยบรรเทาการเจ็บป่วยที่เกิดจากความร้อนได้ด้วย เช่น ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก หรือลดไข้ ช่วยบรรเทาอาการที่เกี่ยวเนื่องกับระบบประสาทและลำคอ
Free advertising
top