สปิเนล สัญลักษณ์ของอำนาจ เสริมกำลังใจและความกล้าหาญ

แร่สปิเนลดูผ่านๆเหมือนแร่เหล็ก
สปิเนล เป็นอัญมณีที่ไม่ค่อยคุ้นหูกันเท่าไหร่หนัก เป็นอัญมณีที่เกิดจากการแปรสภาพของแร่ที่ฝังอยู่ในชั้นหินปูนผลึก หินไนส์ และเซอร์เพนทีน มักจะพบในลักษณะก้อนกรวดทรายตามทางน้ำต่างๆ ทนทานต่อการสึกกร่อนสูง พบในศีลังกา ไทย พม่าตอนเหนือ และมาดากัสการ์

สปิเนล หรือ Spinel มาจากภาษาลาตินว่า spina หมายถึงหนาม ซึ่งผลึกของแร่สปิเนลนี้มีรูปร่างที่ไม่แน่นอนเท่าไหร่ แต่ส่วนมากแล้วจะมีลักษณะแหลมคล้ายหนาม มีสีต่างๆ เช่น สีขาว แดง ชมพู ส้ม ม่วง เหลือง น้ำเงิน เขียวแก่ น้ำตาล สีดำ เป็นต้น



สปิเนลที่มีเนื้อใสสะอาด และสีจัดสม่ำเสมอ จัดเป็นรัตนชาติ โดยเฉพาะสีแดง คล้ายทับทิมมาก จนเรียก ทับทิมสปิเนล (ruby spinel) หรือ balas ruby ชนิดสีน้ำเงิน พบขนาดใหญ่สุดถึง 80 กะรัต แต่มีราคาไม่สูงมาก แถมสปิเนลนั้นสามารถสังเคราะห์ได้โดยกรรมวิธีเวอร์เนียล ซึ่งสวยงามไม่แพ้ของธรรมชาติ

แหวนเงินสปิเนลแดงและน้ำเงิน


เชื่อกันว่าสปิเนลเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ อีกทั้งยังถูกใช้เป็นสัญลักษณ์แทนความรักหรือแทนการขอบคุณ ผู้ที่สวมใส่สปิเนลจะมีกำลังใจและความกล้าหาญเพิ่มขึ้น รู้สึกแจ่มใสมีชีวิตชีวามากขึ้น

สร้อยสปิเนลสีน้ำเงินประดับด้วยเพชร


ในด้านการบำบัดรักษา สปิเนลถูกนำมาใช้ในการบำบัดอาการเกี่ยวกับเลือด

เพชรดำ ราชาแห่งเพชร นี่ล่ะเพชรตัดเพชร

เพชรดำ ดูๆไปก็เหมือนก้อนหินธรรมดา

ส่วนมากถ้าพูดถึงเพชร คนทั่วไปมักจะนึกถึงอัญมณีชนิดหนึ่งที่มีลักษณะใสแวววาว ที่มีราคาแพง แต่ทุกๆท่านทราบกันหรือไม่ครับว่า เพชรนั้นไม่ได้มีแค่แบบใสอย่างเดียว จากบทความที่เคยพูดถึงเพชร จะพบว่า เพชรนั้นมีด้วยกันหลายสี ซึ่งเราจะเรียกเพชรที่มีสีว่า เพชรแฟนซี ซึ่งก็มีสีมากมาย เช่น สีแดง สีชมพู สีน้ำเงิน เป็นต้น

เมื่อนำมาเจียรไนแล้ว จะพบว่ามีสีดำมันวาว สวยไปอีกแบบ

เพชรดำ เป็นเพชรชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นเหมือนตามธรรมชาติเหมือเพชรทั่วไป แต่เนื่องจากปริมาณคาร์บอนและเขม่าของคาร์บอนมากกว่าปกติ ทำให้เนื้อเพชรมีสีดำใส และด้วยปริมาณคาร์บอนที่จับตัวมากกว่าเพชรสีอื่นๆ ทำให้เพชรชนิดนี้ มีความแข็งแกร่งมากที่สุด และสามารถทนต่อแรงกดดันได้มากกว่าเพชรชนิดอื่นๆ จึงนิยมถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมการขุดเจาะและนำไปทำหัวเครื่องมือที่ใช้เจียรไนเพชรกันมาก ทำให้เราไม่ค่อยเห็นเพชรชนิดนี้ นำมาทำเครื่องประดับกันซักเท่าไหร่

มีความเชื่อกันว่าเพชรดำนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบนโลก น่าจะเกิดขึ้นจากอวกาศ โดย ศาสตราจารย์สตีฟ แฮกการ์ดี้ แห่งมหาวิทยาลัยนานาชาติฟลอริดา ได้ทำการตั้งสมมติฐานเอาไว้ ซึ่งก็ปรากฏหลักฐานสนับสนุนเอาเสียด้วย เนื่องจากการตรวจสอบร่องรอยของก๊าซไนโตรเจนและไฮโดรเจนที่พบในเพชรดำ ดันไปตรงกันกับชนิดของแร่ธาตุของกลุ่มดาวในอวกาศและไม่ตรงกับเพชรชนิดอื่นบนโลก แถมเนื้อเพชรเองยังมีรูพรุนในเนื้อของมันอีก ทำให้เชื่อว่าไม่น่าจะเกิดจากใต้พื้นโลกเรา ซึ่งมีแรงอัดมหาศาล จึงถูกกล่าวว่าเพชรดำนั้นเป็นเพชรจากฟากฟ้า ที่เอาไว้ตัดเพชรอื่นๆ

แหวนเงินประดับด้วยเพชรดำมากมาย

ชาวอินเดียเชื่อกันว่าเพชรดำเป็น เพชรศูทรชาติ (รวมถึงเพชรสีน้ำเงินด้วย) เป็นดั่งดวงตาของนาคราช เหมาะเป็นเครื่องบรรณาการแด่พระศิวะ ท้าวกุเวรและพระยม ใครที่ได้ครอบครองเพชรดำ จะทำให้เขาผู้นั้นร่ำรวยด้วยทรัพย์สมบัติและเปี่ยมไปด้วยโชคลาภอันได้จากพื้นดิน โดยเฉพาะทางด้านการเกษตรและทางด้านการทำอุตสากรรมขนาดใหญ่

เพชรดำ นี่ล่ะที่มาของ เพชรตัดเพชร


ทางยุโรปเอง โดยเฉพาะชาวกรีกและโรมันโบราณเชื่อกันว่า เพชรดำนั้นเป็นอัญมณีแห่งดาวตกอันเกิดจากการแผลงศรลงมาสร้างโลกในยุคดึกดำบรรพ์ของเทพอีรอสเทพเจ้าแห่งกามตัณหา (เป็นเทพอีรอสโบราณที่ถือว่าเป็นพรหมที่ถือกำเนิดเองจากจักรวาล ซึ่งเป็นคนละองค์กับเทพอีรอสในปัจจุบันที่เป็นบุตรของเทพีอโฟร์ไดท์)เป็นเพชรแห่งความมั่นคงมั่งคั่งในชีวิต อีกทั้งยังเป็นเพชรแห่งความปรองดองและการคืนดี เมื่อผู้ใดที่ได้สัมผัสกับเพชรดำแล้ว เพชรดำจะช่วยขับไล่สิ่งชั่วร้ายและความเข้าใจผิดระหว่างคู่กรณีได้

ที่มา http://www.horamahawed.com/content.php?cate=gem&id=17

พระพุทธศาสนาไม่มีรูปเคารพ หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ปรินิพพานไปแล้ว จึงมีผู้ที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา จึงได้สร้างเพื่อรำลึกถึง หรือเป็นสัญญาลักษณ์ขององค์พระศาสดา เพื่อที่จะบอกเล่า เรื่องราวขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เป็นต้นปฐมของศานาพุทธที่ทรงค้นหาทางดับทุกข์ และนำพระธรรมมาสั่งสอนให้แก่มวลมนุษย์ ล่วงมาถึงในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เป็นองค์อุปถัมภ์พระพุทธศาสนาพระพุทธรูป หรือ รูปเคารพแทนพระพุทธเจ้า เริ่มมีการสร้างขึ้นในราวปี พ.ศ.500 ได้มีการสร้างสถาปัตยกรรมและประติมากรรมทางพุทธศาสนามากมายในแค้วนคันธาราฐ ซึ่งมีการสร้างพระพุทธรูปในลักษณะต่างๆ ตามพุทธประวัติ การสร้างพระพุทธรูปเข้ามาสู่ประเทศสยามในราวพุทธที่ 11 โดยถือคตินิยมถือปฏิบัติตามอินเดียโบราณ

พระพุทธรูปได้รับอิทธิพลจากพระพุทธรูปอมราวดีผสมคุปตะ และปาละของอินเดีย ซึ่งเป็นช่วงในสมัย ทวาราวดี เมื่อทวาราวดีได้ล้มสลาย จึงเกิดอาณาจักรศรีวิชัย ในราวพุทธศตวรรษที่ 13 ที่มีความเจริญรุ่งเรืองในหมู่เกาะชวา และแหลมมาลายู และดินแดนบางส่วนของสยามทางภาคใต้ เป็นศิลปะแบบคุปตะ ซึ่งเป็นพระที่มีความงดงาม พระวรกายอวบ ได้สัดส่วน ต่อมาก็เข้าสู่สกุลช่างลพบุรี ในราวพุทธศตวรรษที่ 17 มีศูนย์กลางอยู่ที่เขมร ต่อมาสกุลช่างเชียงแสน เป็นศิลปะช่างทางภาคเหนือ มีเมืองเชียงแสนเป็นเมืองสำคัญ อาณาจักรล้านนาไทย ที่กล่าวว่ามีพระพุทธรูปมีความงดงามน่าเกรงขาม พระพุทธรูปสมัยเชียงแสนเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่อง ลุถึงสมัยช่างสุโขทัย พระพุทธรูปสมัยสุโขทัย เป็นพระที่มีความงดงาม นิยมหล่อด้วยโลหะสัมฤทธิ์ และที่สลักเป็นก็มี ซึ่งในขณะนั้น พ่อขุนบางกลางท่าว เป็นบรมปฐมกษัตริย์ของเมืองสุโขทัย นิยมสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ พระพุทธรูปปางลีลาสุโขทัย ได้รับการยกย่องส่าเป็น สุดยอดพระพุทธประติมากรรมที่งดงามมาก บ่งบอกถึงความประณีตทางจิตใจ ได้รับยกย่องว่าเป็น ยุคทองของศิลปกรรมไทย



สมัยอาณาจักรสุโขทัยเรืองอำนาจ มีเมืองกำแพงเพชรเป็นเมืองหน้าด่าน มีความสำคัญในด้านการเมือง เศรษฐกิจ ศาสนา วัฒนธรรม และประเพณี เมืองกำแพงเพชรเป้แหล่งที่มีการสร้างพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ตามวัดวาอาราม และยังมีการสร้างพระบูชาที่มีเอกลักษณ์เรียกว่า“พระสุโขทัย” เป็นพระที่มีความงามและแปลกกว่าพระในสมัยเดียวกัน คือ พระกำแพง 3 ขา ได้สร้างขึ้นในสมัยกรุงสุโขทัยยุคกลาง คือสร้างเหมือนกับยุต้น แต่มีการแก้พระพักตร์ เป็นรูปไข่ พระเกศ เป็นเปลวอุณาโลม ให้ยาวขึ้น ฐานเขียงก็เพิ่มเป็น 3 ขา คือแต่เดิมฐานพระนั้น มีลักษณะเป็นฐานทึบไม่มีขายื่นออกมา พระศกบางองค์ ทำขมวดก้นหอยแหบลมคล้ายหนามขนุน

พระกำแพง 3 ขา เป็นพระพุทธรูปเมืองสุโขทัย ตรงในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เป็นพระแท่นที่เต็มรูปแบบปกติถือได้ว่าเป็นพระพุทธรูปที่สวยงาม และต่อมาพ่อขุนรามคำแหงมหาราชได้ส่งพระโอรส มีพระนามว่า “พระเจ้าลิไท” ไปปกครองกำแพงเพชร พระอง๕ทรงมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างมาก พระองค์จึงได้สร้างพระพุทธรูปขึ้นใหม่ โดยให้มีความแตกต่างจากศิลปะสุโขทัย กล่าวได้ว่าไม่แพ้พระสมัยสุโขทัย คือมี พุทธลักษณะการทำฐานให้แตกต่างออกไปจากของเดิม คือเป็นแบบขาโต๊ะ หรือเรียกตามชื่อจังหวัดกำแพงเพชร “พระกำแพง 3 ขา” เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย และปางสมาธิขนาดเล็ก ส่วนใหญ่มีอยู่ตามกรุ



วัดเสด็จ มีประวัติความเป็นมาไม่แน่ชัดว่าใครเป็นผู้สร้างเนื่องจากหลักฐานไม่สามารถยืนยันได้ เป็นวัดที่ประชาชนที่อาศัยทำมาหากินอยู่ในเมืองกำแพงเพชรได้เข้ามาตั้งหลักแหล่งและทำมาหากิน จึงได้รวมตัวกันและสร้างวัดเพื่อเป็นศูนย์กลางของศาสนาและชาวเข้ามาประชุม แต่เดิมชื่อว่า “วัดราชพฤกษ์” ตามกาลเวลาวัดจึงเกิดการชำรุดทรุดโทรมจึงได้มีการลงมติที่จะทำนุบำรุงและก่อสร้างขึ้นใหม่ จึงได้ทำการรื้อถอนวิหาร เมื่อรื้อก็ได้เห็นว่ามีพระพุทธรูปองค์ประทานประดิษฐานจึงได้ยกพระออกจากฐานเดิมก็พบ พระพุทธรูปเก่าแก่ ที่กล่าวไว้ข้างต้น บางองค์ก็มีความสมบูรณ์ บางองค์เกิดชำรุด จึงได้รวบรวมพระที่ชำรุดดังกล่าวนำไปหลอมใหม่นำมาสร้างเป็นพระกำแพงสามขาย้อนยุค เพื่อนำรายได้สร้างวิหารใหม่ และอาคารอเนกประสงค์ พระที่มีความสมบูรณ์จำนวนหนึ่งก็ได้เก็บไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษาถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาอันเจริญเมื่อครั้งที่กรุงสุโขทัยเป็นราชธานี

ที่มา http://www.horamahawed.com/content.php?cate=kong_kang&id=27

ซาร์โดนิกซ์ อัญมณีแห่งเพศหญิง ตัวแทนแห่งความรัก

หินซาร์โดนิกซ์


ซาร์โดนิกซ์ (Sardonyx) เป็นอัญมณีในตระกูล คัลชิโดนี อยู่กลุ่มของแร่ควอรตซ์ มีลักษณะเหมือนอะเกต แต่เป็นแถบสีขนานกัน ไม่โค้ง อยู่ในกลุ่มที่มีผลึกละเอียด มีสีน้ำตาลแดง บางครั้งอาจพบเห็นเป็นลายชั้นสีขาวแทรกสลับ นิยมนำมาทำเครื่องประดับ ไม่สามารถนำมาเจียระไนไห้เกิดความแวววาวได้เพราะแสงที่ตกกระทบจะไม่สามารถหักเหได้ แต่ด้วยสีสันที่สลับปะปนกันอยู่ในเนื้อที่ทำให้นิยมนำมาแกะสลักนูน หรือไม่ก็นำมาเจียระไนแบบหลังเบี้ย

ซาร์โดนิกซ์ที่ผ่านการเตียระไนแล้ว


ในสมัยโบราณ การนำซาร์โดนิกซ์มาใช้เริ่มเมื่อสมัย 4,000 ปีมาแล้ว โดยมีการค้นพบหินชนิดนี้และนำมาทำตราประทับต่างๆ แหวนประทับตราประจำตระกูล นอกจากนี้ยังนิยมใช้เป็นเครื่องรางเพื่อเพิ่มความกล้าหาญ

เชื่อกันว่าซาร์โดนิกซ์ มีพลังแห่งเพศหญิงสูง แต่จะมีประโยชน์ต่อจิตใจมากกว่าร่างกาย เป็นอัญมณีแห่งความรัก มีประโยชน์ด้านจิตใจ ถือเป็นอัญมณีแห่งความรัก ช่วยแก้ไขเยียวยาความรักที่กำลังประสบปัญหา พลิกผันสถานการณ์ให้ดีขึ้นได้ช่วยให้สามารถปรับตัวเข้าหากันได้

สร้อยคอที่ทำมาจากหินซาร์โดนิกซ์

ลายชั้นสีน้ำตาลและสีขาวของซาร์โดนิกซ์ที่ผสมกลมกลืนรวมอยู่ในก้อนหินก้อนเดียวกันเปรียบเสมือนชีวิตสมรสของคู่หนุ่มสาวที่อยู่ร่วมกันเป็นคู่ทุกข์-คู่ยาก อย่างกลมเกลียวและราบรื่น เป็นสัญญลักษณ์ของความสมัครสมานในชีวิตสมรส ช่วยให้ชีวิตสมรสราบรื่น ลดการใช้อารมภ์ในการแก้ปัญหาให้เกียรติกันมากขึ้น เป็นสัญญลักษณ์ของการใช้ชีวิตคู่ร่วมกันอย่างผาสุกตราบชั่วนิรันดร์

สร้อยจากหินซาร์โดนิกซ์ เหมาะสำหรับคนเกิดเดือนสิงหาคม


ซาร์โดนิกซ์ เป็นอัญมณีที่เหมาะสำหรับผู้ที่เกิดในเดือนสิงหาคม

ซิทริน ป้องกันคนรอบข้างหักหลัง ช่วยให้พ้นจากความอัปยศ

ซิทริน เป็นอัญมณีชนิดผลึกเดี่ยวอยู่ในตระกูลควอตช์ เช่นเดียวกับแอเมทิสต์ มีสีเหลือง ส้ม และ ส้มอมน้ำตาล สีเกิดจากธาตุ Fe คำว่า ซิทริน มาจากภาษาฝรั่งเศษ (Citron) แปลว่า เลมอนหรือมะนาวนั่นเอง พบมากในบราซิลและมาดากัสการ์ เป็นแหล่งซิทรินที่มีคุณภาพที่สุด ส่วนแหล่งอื่นๆ ก็มีที่อุรุกกวัย, รัสเซีย, และอเมริกา เป็นต้น


ซิทรินมีความแข็งแกร่งมาก มีความแข็งเท่ากับ 7 ไม่มีแนวแตกเรียบ และมีเสถียรภาพทางเคมี ไม่ทำปฏิกิริยากับสารเคมีทั่วไป จึงเป็นแร่ที่ทนทานต่อการผุกร่อน และทนต่อการทำลายทางเคมีมาก ทำให้ยังคงสภาพอยู่ได้ในรูปของกรวดทรายตามตะกอนทางน้ำและชายทะเล



หลายท่านอาจจะไม่คุ้นเคยกับชื่อซิทรินกันเท่าไหร่ แต่น่าจะเคยเห็นเจ้าซิทรินนี้กันมาบ้างแล้วตามเครื่องประดับต่างๆ ซึ่งมักจะนำมาใช้แทนบุษราคัมกันมาก เพราะมีสีเช่นเดียวกัน มีความเชื่อว่ามีประโยชน์ต่อจิตใจและกระบวนการคิด ช่วยปรับทัศนคติและมุมมองให้เป็นเหตุเป็นผล ลดการใช้อารมณ์ในการตัดสินปัญหา ช่วยให้การสื่อสารระหว่างบุคคลมีความประณีประนอม ก่อให้เกิดความเข้าใจเอื้ออาทรต่อกันมากขึ้น



นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่าซิทรินสามารถปกป้องให้พ้นจากความอัปยศและการทรยศหักหลังได้

ในด้านการบำบัดรักษาซิทรินจะช่วยเยียวยาจิตใจของผู้ป่วยเรื้อรังทำให้มีกำลังใจสู้กับโรคภัยต่อไปได้



ไข่มุกสีทอง เสริมความมั่งคั่ง ร่ำรวยทรัพย์สิน



สำหรับผู้ที่นิยมเครื่องประดับอย่างไข่มุก ซึ่งเป็นเครื่องประดับธรรมชาติที่มาจากสิ่งมีชีวิต ซึ่งในบทความก่อนๆ เราได้พูดถึงไข่มุกไปแล้ว ซึ่งไข่มุกแต่ล่ะสีนั้นจะมีความเชื่อในด้านที่แตกต่างกันออกไป วันนี้เราจะมาพูดถึงไข่มุกสีทองกัน



ไข่มุกสีทองส่วนมากเรามักจะพบได้ในเครื่องประดับพวกสร้อยและแหวน ซึ่งไข่มุกสีทองมีความเชื่อกันว่าจะนำพาทรัพย์สินเงินทองมาให้ผู้สวมใส่



นอกจากนี้ไข่มุกสีทองยังเป้นสัญลักษณ์หรืออัญมณีสำหรับผู้ที่เกิดวันจันทร์อีกด้วย

โมรา ป้องกันภยันตราย เพิ่มทรัพย์สินเสริมความมั่งคั่ง

หินโมราหรืออาเกต
โมรา หรืออีกชื่อหนึ่งคือ อาเกต (Agate) จัดเป็นแร่ที่อยู่ในกลุ่ม คาลซิโดนี (Chalcedony) หมายถึง ควอทซ์ (Quartz) SiO2 กลุ่มที่ไม่มีรูปผลึก มีหลายสี ที่นิยม คือ ฟ้าอมเทาลายขาว หรือฟ้าในเนื้อหิน พบได้ตามโพรงถ้ำและรอยแยกของแผ่นหิน โดยเกิดจากการตกตะกอนของน้ำใต้ดินที่มีส่วนประกอบของซิลิกา (Silica) และยังสามารถเกิดได้จากการหลอมรวมตัวบริเวณใกล้ผิวโลกภายใต้สภาวะอุณหภูมิและความดันต่ำ โมราจัดอยู่ในกลุ่มหินลาวาที่มี ซิลิกา (Silica) เจือปน

อาเกต (Agate) เป็นชื่อมาจากภาษาท้องถิ่น จากชื่อแม่น้ำ "Achate" อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของ ซิชิลี (Sicily) 

หินโมราถูกใช้เป็นเครื่องประดับและใช้ในการตกแต่งมามากกว่า 1,000 ปี ในช่วงยุคกลาง (ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 12 - 15) การสวมใส่เครื่องประดับที่ทำมาจากหินโมราเพื่อให้เป็นที่รักของพระผู้เป็นเจ้า, เพื่อให้คนอื่นยอมรับ, นำชัยชนะ พละกำลัง มาสู่ผู้สวมใส่, ป้องกันภัยจากภยันอันตรายต่างๆ และยังช่วยบำบัดอาการนอนไม่หลับ รวมถึงยังช่วยให้ฝันดีอีกด้วย

สร้อยข้อมือหินโมราสลับคริสตัล


คนโบราณเชื่อกันว่าหินโมราเป็นเหมือนเครื่องรางของขลังที่ใช้กันมาตั้งแต่โบราณ และสามารถป้องกันภยันอันตราย ให้กับผู้เป็นเจ้าของได้ดียิ่ง จึงนิยมพกติดตัว หรือใช้เป็นเครื่องประดับ นอกจากนั้นยังถือกันว่าหินโมราเป็นตัวแทนของทรัพย์สิน ช่วยเพิ่มความมั่งคั่งร่ำรวยให้กับผู้เป็นเจ้าของ  นิยมพกติดตัวเสมอเวลาเดินทาง เพราะเชื่อว่าหินโมรามีตาที่สาม ในสมัยก่อนนิยมนำมาเสี่ยงทายทำนายอนาคตตอีกด้วย

นอกจากนี้บางส่วนของอาวุธในสมัยโบราณ เช่น ขวาน ซึ่งจะถูกใช้โดยผู้ชายเมื่อ 2.5 ล้านปีก่อนนั้น ในพื้นที่แถบ โอโมวัลเล่ (Omo Valley) ปัจจุบันอยู่ในประเทศ เอธิโอเปีย (Ethiopia) ค้นพบว่าขวานโบราณนั้นทำมาจากหินจำพวก ควอทซ์ (Quartz) เช่น หินโมราที่ถูกใช้ในการทำอาวุธในสมัยโบราณนั้นเนื่องจากคุณสมบัติที่แข็งและเปราะทำให้สามารถจัดแต่งเป็นรูปทรงต่างๆได้ง่าย

ชาวอินเดีย จีน และ คนเม็กซิกันมีความเชื่อในเรื่องของหินโมราว่าเป็นเครื่องมือนำพาหรือดึงดูดสิ่งดีดี เช่น ทรัพย์สินเงินตราหรือลาภยศมาสู่ผู้เป็นเจ้าของ คนบราซิลและอิตาเลียนเชื่อว่าหินโมราจะช่วยประสานความเข้าใจระหว่าบริวารลูกน้อง และมีพลังขับไล่พลังด้านลบ หรือเชื้อโรคร้ายในร่างกายปกป้องไม่ให้เซลล์มะเร็งก่อตัว

ชาวอียิปต์เชื่อกันว่า ช่วยป้องกันภยันตรายให้เจ้าของ และเป็นตัว แทน ทรัพย์สิน เพิ่ม ความมั่งคั่ง ช่วยทำให้จิตใจเยือกเย็น สงบ ถ้านำ มากำ ไว้ จะช่วยชำระล้างอารมณ์รุนแรง เร่าร้อน คลายอารมณ์เคร่งเครียด แล้วนำหินไปล้าง เพื่อชำระล้างทิ้งไป นอกจากนั้นยังช่วยสร้าง ภูมิคุ้มกันโรค ให้กับร่างกาย ถ้านำมาวางไว้บนหัวเตียง เชื่อว่า สามารถช่วยเเสริมสมรรถ ภาพพลังทางเพศได้อีก

สร้อยที่ทำจากหินโมราเขียว


หินโมราเป็นหินประจำราศีเมถุนและยังใช้เป็นอัญมณีสัญลักษณ์ของการครบรอบแต่งงานปีที่ 12 (12th Aniversary) ด้วย

ทางด้านการบำบัดรักษา หินโมราช่วยให้เกิดความสมดุลย์ทางร่างกายทั้งทาง กายภาพ, อารมณ์, จิตใจ และจิตวิญญาณ รวมถึงยังสามารถขจัดปัดเป่าอุปสรรคและยังช่วยนำพาสิ่งดีๆมาสู่ผู้สวมใส่

หยกดำ ทำให้เกิดความร่มเย็น สงบในบ้าน

แร่หยกดำที่ยังไม่ผ่านการเจียระไน


ก่อนหน้านี้เราเคยพูดถึงหยกกันไปแล้ว ซึ่งหยกจะมีหลายสีไม่ใช่มีเพียงแค่สีเขียวอย่างเดียว ซึ่งในบันทึกทางประวัติศาสตร์ของจีนบันทึกเอาไว้ว่ามีถึง 9 สีหลักด้วยกันได้แก่ เขียว ขาว ม่วง แดง น้ำตาล เหลือง เทา ดำและน้ำเงิน (ฟ้า) ซึ่งความหมายและความเชื่อของหยกแต่ล่ะสีก็แตกต่างกันออกไปเช่นกัน วันนี้เราจะมาพูดถึงหยกดำกัน

หยกดำที่ผ่านการเจียระไนแล้ว


หยกดำ มักจะถูกนำมาเป็นเครื่องประดับบนร่ายกายและในบ้าน เพื่อเสริมทางด้านฮวงจุ้ย อาจจะวางไว้บนหัวเตียง หรือเอามาใส่บนน้ำพุให้ลูกหยกดำกลมๆกลิ้งไปบนน้ำ เหมือนที่เราเห็นขายกันตามห้างทั่วไป ซึ่งเชื่อว่าหยกดำจะช่วยทำให้เกิดความร่มเย็นภายในบ้าน รวมทั้งรับสิ่งดีๆเข้ามาภายในบ้านและตัวท่านอีกด้วย

พระพิฆเณศแกะสลักจากหยกดำ


ชาวจีนยังเชื่อกันว่าหยกดำเป็นเป็นสัญลักษณะแห่งดิน รวมทั้งยังหมายถึงทรัพย์สินเงินทองอีกด้วย จึงมักถูกนำมาใช้เป็นวัสดุพวกเครื่องรางต่าง รวมทั้งเครื่องประดับบนร่างกายอย่างเช่น กำไล อีกด้วย ซึ่งจะนำพาทรัพย์สินเงินทองและสิ่งดีๆเข้ามาหาตัวผู้สวมใส

กำไลหยกดำ
แหวนเงิน-หยกดำ


สำหรับผู้ที่เกิดวันเสาร์ หยกดำถือเป็นอัญมณีที่ถูกโฉลกกับผู้ที่เกิดในวันนี้ ถ้าหากท่านเกิดวันเสาร์และกำลังมองหาเครื่องประดับซักชิ้นให้ตัวเอง อย่าลืมมองหยกดำเป็นอีกทางเลือกหนึ่งนะครับ


“เดิม หลวงพ่อเงิน พุทธโชติ ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดคงคารามได้เพียง 1 พรรษา ต่อมาก็ได้ย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่ วัดวังตะโก เนื่องจากท่านไม่ชอบความวุ่นวาย เคร่งครัดในพระธรรมวินัย และชอบความสงบ โดยได้สร้างปลูกกุฏิด้วยไม้ไผ่มุงด้วยหลังคาแฝก เมื่อมาจำพรรษาที่นี่เห็นว่าสงบดี จึงได้เป็นธุระสร้างถาวรวัตถุโดยนำเงินจากการสร้างวัตถุมงคล และเงินบริจาค จนทุกวันนี้วัดเจริญรุ่งเรือง และเป็นที่รู้จัก”

วัดบางคลาน หรือ วัด หิรัญญาราม เป็นวัดที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่าน หมู่บ้านวังตะโก และวัดนี้ก็ยังเรียกขานกันว่า “วัดวังตะโก” ลึกเข้าไปทางแม่น้ำสานเก่า ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นแม่น้ำพิจิตร โดยสร้างขึ้นในราวปี พ.ศ.2377 โดยที่หลวงพ่อท่านได้ย้ายมาจากวัดคงคาราม (วัดบางคลานใต้) เมื่อเข้ามาจำพรรษาก็ได้ปลูกกุฏิด้วยไม้ไผ่มุงด้วยหลังคาแฝกอยู่เพียงรูปเดียว พร้อมกับนำกิ่งโพธิ์มาปักไว้ที่ริมตลิ่ง (หน้าพระอุโบสถ) แล้วอธิษฐานว่า “ถ้าท้องถิ่นนี้จะเจริญรุ่งเรืองต่อไป ก็ขอให้โพธิ์ต้นนี้งอกงามแผ่กิ่งก้านสาขาเป็นนิมิตดีต่อไปด้วย” เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นดังตามคำอธิษฐานเอาไว้อย่างน่าประหลาด ต่อมาก็ได้ปรากฏเป็น “วัดวังตะโก” หรือ วัดบางคลาน และได้เจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นวัดที่ชาวบ้านในละแวกวัดมาร่วมพิธีทางศาสนากันอย่างเนืองแน่น และต่อมาก็มีการสร้างเสนาสนะขึ้นความเจริญก็ขึ้นมาตามลำดับ เป็นที่ศึกษาทางวัฒนธรรมและของข้าวของเครื่องใช้วัตถุมงคลของหลวงพ่อเงิน เมื่อครั้งที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ เครื่องปั้นดินเผา สิ่งของเก่าโบราณที่ขุดพบในเมืองนครไชยบวรมีคุณค่า และของโบราณของเก่าที่นับวันจะหายากและสูญหายชาวบ้านก็ได้นำมาบริจาคให้กับ “พิพิธภัณฑ์นครไชยบวร” โดยทางวัดบางคลานได้เก็บรักษาไว้เป็นสมบัติของชาติ ให้ชนรุ่นหลังที่มากราบไหว้ขอพรหลวงพ่อเงินได้ชมและศึกษาเพื่อให้ได้ทราบถึงประวัติและเรื่องราวต่างๆของยุคสมัย


ประวัติของหลวงพ่อเงิน พุทธโชติ บางคลาน วัดวังตะโก เพชรน้ำเอกเมืองพิจิตร ชาติกำเนิด เกิดเมื่อวันศุกร์ ที่ 16 กันยายน พ.ศ.2351 เดือน 10 ปีมะโรง บิดามีนามว่า อู๋ เป็นชาวบ้านบางคลาน มารดามีนามว่า ฟัก เป็นชาวบ้านแสนตอ จ.กำแพงเพชร ซึ่งตรงกับสมัย หลวงพ่อเงินมีที่น้องร่วมสายโลหิตทั้งหมด 6 คน ท่านเป็นคนที่ 4 ของครอบครัว



หลวงพ่อเงิน เมื่อเป็นเด็กมีอายุ 5 ขวบ ได้ไปอยู่ที่กรุงเทพฯ โดยนายช่วงผู้เป็นครูพาไป ลำนำไปผากไว้ที่วัดตองปุ (วัดชนะสงคราม) เพื่อศึกษาเล่าเรียน เมื่อหลวงพ่อเงินท่าสมีอายุได้ 12 ปี จึงได้บรรพชาเป็นสามเณร บวชเป็นสามเณรตนถึงอายุครบบวชเป็นพระภิกษุ จึงได้เข้าอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดชนะสงคราม ได้ฉายาว่า “พุทธโชติ” เมื่ออุปสมบทเป็นที่เรียบร้อยแล้วได้จำพรรษาอยู่ที่วัดชนะสงคราม เพื่อปฏิบัติธรรมวินัยทางวิปัสสนากรรมฐาน ท่านอยู่ได้ 3 พรรษา ขณะที่จำพรรษาอยู่ที่วัดชนะสงครามจึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อศึกษาวิทยาคมเพื่อศึกษาศิลปะวิทยาคมตลอดจนเรียนวิปัสสนาธุระ จนมีความแก่กล้า จึงได้มุ่งศึกษาเรียนพุทธาคมจาก “หลวงพ่อโพธิ์ วัดวังหมาเน่า” เมื่อเรียนจบแล้วจึงกลับบ้านเกิดเมืองนอนที่ อ.โพทะเลไปจำพรรษา ณ วัดคงคาราม (วัดบางคลานใต้) บ้านบางคลาน ต.บางคลาน อ.บางคลาน จ.พิจิตร ท่านจำพรรษาอยู่ได้พรรษาเดียว ต่อมาก็ได้ย้ายไปจำพรรษาจากวัดวังคงคาราม ไปอยู่ที่วัดวังตะโก ซึ่งลึกเข้าไปทางลำน้ำแควพอจิตรเก่า ได้สร้างกฏิ วิหาร โบสถ์ และเสนาสนะจนสมบูรณ์ วัดวังตะโก หรือวัดหิรัญญาราม พระอารามแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อประมาณปีพ.ศ.2377 มีประชาชนมากราบไหว้มิได้ขาด เพื่อถวายตัวเป็นศิษย์ ขอให้ท่านรักษาโรคให้ และมาขอเครื่องรางของขลัง หลวงพ่อท่านทรงเมตตาต่อทุกๆคนที่เข้ามาหาท่าน โดยเฉพาะชาวเรื่อที่ขึ้นร่องสัญจรไปมา พวกพ่อค้าแม้ค้า ได้มาจอดเทียบท่าเรือที่หน้าวัดก็จะมากราบท่านขอน้ำมนต์ไปดื่ม ไปอาบ หลวงพ่อเงินท่าน ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์และสมณศักดิ์เป็นเจ้าคุณฝ่ายวิปัสสนา


หลวงพ่อเงิน ท่านได้มรณภาพ ด้วยโรคชรา และโรคริดสีดวงทวาร เมื่อวันศุกร์ เดือน 10 แรม 11 ค่ำ ปีมะแม เวลา 05.00 น. ตรงกับวันที่ 20 กันยายน พ.ศ.2462 รวมสิริอายุได้ 111 ปี พรรษา 90 การมรณภาพในครั้งนั้น วัดวังตะโก – วัดท้ายน้ำ ชาวพิจิตรและศิษย์ยานุศิษย์ตลอดจนสาธุชนคนทั่วไปที่เลื่อมใสศรัทธาในตัวหลวงพ่อเงิน ได้โศกเศร้าเสียใจอย่างสุดซึ้ง เป็นการสูญเสียพระคณาจารย์ที่ยิ่งใหญ่และพระเถระที่เป็นกำลังสำคัญของพระพุทธศาสนารูปหนึ่ง และท่านเป็นพระเถระที่บริบูรณ์ไปด้วยศีลจารวัตร และมีสมาธิอันมั่นคง โดยเฉพาะเวทมนต์คาถา และวิปัสสนาธุระ ท่านก็มีความเชี่ยวชาญและแก่กล้าในวิทยาคม ท่านได้สร้างคุณงามความดีไว้ให้ลูกหลานได้ศึกษาและสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน



เมื่อ หลวงพ่อเงิน ท่านได้มรณภาพลงทางวัดจึงได้จัดการสร้างรูปหล่อเหมือนหลวงพ่อเพื่อ ให้ลูกศิษย์และผู้ที่เคารพนับถือเข้ามาท่องเที่ยวและได้เข้าไปกราบไหว้สักการะบูชา อธิษฐานขอพร ซึ่งได้ประดิษฐานที่ชั้น 2 ศาลาพิพิธภัณฑ์นครไชยบวร และที่ด้านหน้ามีมณฑปสร้างขี้นอย่างสวยงามมีรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งหลวงพ่อเงิน พุทธโชติ ประดิษฐานอยู่ ส่วนพิพิธภัณฑ์ อยู่ชั้นล่างเป็นที่แสดง พระพุทธรูป พระพิมพ์ต่างๆ เครื่องใช้สอยและวัตถุมงคลต่างๆที่ท่านได้สร้างเอาไว้ ซึ่งเปิดให้เข้าชมทุกวัน และสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ส่วนใหญ่แล้วไม่ทราบ คือ พระเจดีย์ที่เก็บอัฐิธาตุของหลวงพ่อเงิน สร้างขึ้นอยู่ด้านข้างพระอุโบสถ และใกล้กับริมแม่น้ำน่าน หรือแม่น้ำพิจิตร เป็นเขตอภัยทาน มีปลาชุกชุม และท่านที่ไปก็ไปทำบุญให้อาหารปลา ปล่อยปลาต่างๆ ปล่อยหอย ปล่อยเต่า เพื่อเป็นการสเดาะเคราะห์ เพื่อเป็นการช่วยเหลือสัตว์ให้เป็นอิสระและตามความเชื่อว่าปล่อยไปแล้วจะรุ่งเรือง ไม่ติดขัด ทำการใดก็คล่อง



หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน เมื่อครั้งที่ท่านนั้นยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้ให้ความเมตตาโดยไม่เลือกชั้นวรรณะเหมือนกันทุกระดับชั้น มีมีประชาชนให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก มีคนมาหาท่านตลอดและไม่ขาดสาย มาถวายตัวขอเป็นลูกศิษย์ มาขอเครื่องมงคลไปบูชา มาให้ท่านรักษาโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อท่านมรณภาพแล้วท่านก็ยังเมตตาให้ความช่วยเหลือสังเกตจากที่มีผู้คนมากราบไหว้ขอพรและสำเร็จ โดยมีการนำสิ่งของมาแก้บนตามเรื่องที่เมาบนไว้เป็นตามคำอธิฐาน



คาถาบูชาหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน

ตั้ง นโม 3 จบ

อะกะ อะธิ อะธิ อะกะ ธิอะ กะอะ

วันทามิ อาจาริยัญจะ หิรัญญะ นามะกัง ถิรัง

สิทธิ ทันตัง มหาเตชัง อิทธิ มันตัง วะสาทะรัง



(สิทธิ พุทธัง กิจจัง มะมะ ผู้คนไหลมา นะชาลิติ

สิทธิ ธัมมัง จิตตัง มะมะ ข้าวของไหลมา นะชาลิติ

สิทธิ สังฆัง จิตตัง มะมะ เงินทองไหลมา นะชาลิติ

พระฉิมพลี จะ มหาลาภัง ภะวันตุเม)




วัดบางคลาน หรือ วัดวังตะโก ตั้งอยู่ที่ ต.บางคลาน อ.โพธิ์ทะเล จ.พิจิตร

ลาพิสลาซูลี หินแห่งความรู้ เสริมปัญญาและสมาธิ



ลาพิสลาซูลีเป็นอัญมณีที่มีลักษณะทึบแสง มีรูพรุน มีความเปราะบาง เกิดจากแร่หลายชนิดผสมผสานกัน ได้แก่ ลาซูไรต์ ฮาวีไนต์ โซดาไลต์ โนเซไลต์ แคลไซล์ และ ไพไรต์ ตัวแร่มีสีน้ำเงินและละอองทอง (แร่ไพไรต์สีเหลืองทอง) ปนอยู่ พบมากใน อัฟกานิสถาน ปากีสถาน รัสเซีย

ลาพิสลาซูลี (Lapis Lazuli) เป็นชื่อที่มาจาก 2 ภาษาคือ ภาษาละติน คำว่า ลาพิส แปลว่าก้อนหิน ภาษาอาหรับ คำว่า อาซูล แปลว่าสีน้ำเงิน



ในสมัยโบราณ ชาวอียิปต์เชื่อกันว่าเป็นหินแห่งสวรรค์ แหล่งพลังของพระเจ้า และเป็น เครื่องชี้นำ ให้โมเสส ได้ร่างบัญญัติ 10 ประการขึ้นมา เป็นหินแห่งความรู้ เป็นสัญลักษณ์แห่งพลังอำนาจ เสริมสร้างสติปัญญา มีพลัง แห่งการหยั่งรู้ และเปิดตาให้ค้น พบสัจธรรมและความเป็นจริง มีพลังในการ ปกป้อง คุ้มครองสูงมาก ช่วยในการ ถอนพิษ หรือบำบัดอาการ ระคายเคืองในดวงตา ลำคอ ในสมัยโบราณจึงถูกเรียกว่าซัฟไฟร์ เพราะลักษณะโดยทั่วไปของพลอยเป็นสีน้ำเงิน ลาพิสลาซูลีที่มีคุณภาพดีที่สุด คือ เปอร์เชี่ยน ลาพิส (Persian Lapis) มีสีน้ำเงินอมม่วงเข้ม อาจมีหรือไม่มีไพไรต์ (Pyrite) และไม่มีคาลไซท์ (Calcite) ลาพิสลาซูลีชนิดนี้จะหายาก แหล่งกำเนิดที่ดีคือ อัฟกานิสถาน



ลาพิสลาซูลี ช่วยให้ทำสมาธิได้ลึก และ สามารถใช้ท่องไปในอดีตได้ เป็นหินที่มีพลังทางจิตวิญญาณสูง ซึ่งสามารถใช้ในพิธีต่างๆได้ ยังกล่าวอีกด้วยว่ลาพิสลาซูลีถ่ายทอดความรู้และ ภูมิปัญญาโบราณนำความสงบสุขตลอดจนการยอมรับในตัวตนมาสู่ผู้เป็นเจ้าของ

ในด้านการรักษาลาพิสลาซูลี ช่วยถอนพิษ ขุบเสมหะ เสริมสร้างสติปัญญา มีสมาธิ ช่วยด้านพลังใจในการลบล้างบาป และความชั่วร้ายในอดีต เพิ่มพลังในการหยั่งรู้อนาคต เปิดในให้เห็นสัจธรรม และมีพลังสื่อกับสิ่งเร้นลับ เหมาะกับนักพยากรณ์ โหราศาสตร์
หลายท่านคงอาจจะงงๆว่า ปะการังจัดมาเป็นอัญมณีได้อย่างไร




ปะการังจัดเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กประเภทหนึ่ง มีความแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆตรงที่จะมีโครงสร้างเป็นหินปูนเป็นรูปทรงต่างๆ ห่อหุ้มตัวปะการังที่มีลักษณะอ่อนนุ่มที่อยู่ภายใน รูปทรงของหินปูนมีทั้งแบบเป็นแผ่น เป็นก้อน หรือแบบกิ่งก้านเหมือนต้นไม้ แผ่ขยายออกไปเรื่อยๆจนเป็นแนวปะการัง เจริญเติบโตได้ดีที่อุณหภูมิ 8 - 27 องศา แสงแดดพอประมาณ

ปะการังตัวหนึ่งๆเมื่อโตเต็มที่จะให้กำเหนิดลูกปะการังเล็กลอยไปตามกระแสน้ำ ซึ่งสามารถลอยไปได้ไกลมาก และเมื่อไปเกาะจับตามโขดหินหรือวัตถุที่มีลักษณะแข็ง ปะการังก็จะเริ่มสร้างหินปูนออกมาห่อตัวมันเองและขยายไปเรื่อยๆจนเป็นรูปร่างต่างๆ



ปะการังยังเป็นที่อาศัยของสิ่งมีชีวิตอีกหลายชนิด เช่นปลาและพวกสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง เนื่องจากความแข็งแรงของหินปูนของปะการัง จะช่วยเป็นเกราะให้พวกมันได้เพราะสัตว์ที่อาศัยในแนวปะการังเหล่านี้มีขนาดเล็ก ทำให้มันสามารถซอกซอนเข้าไปหลบตามรู ตามซอกของปะการังจากนักล่าได้เป็นอย่างดี



คนโบราณเชื่อกันว่า ปะการังมีพลังในการปกป้องคุ้มครองผู้ที่เดินทาง โดยเฉพาะการเดินทางไกล การย้ายถิ่นฐาน โดยให้นำปะการังในพื้นที่ติดตัวไปด้วย นอกจากจะเชื่อว่าจะช่วยคุ้มครองการเดินทางให้ปลอดภัยแล้วยังช่วยให้รู้สึกใกล้ชิดกับถิ่นฐานเดิมได้อีกด้วย ชาวฮินดูมักจะนิยมใช้ปะการังในการป้องกันและกำจัดสิ่งชั่วร้ายต่างๆ โดยเฉพาะชาวทะเลจะนิยมแขวนปะการังไว้หน้าบ้าน ยิ่งเป็นบ้านที่มีเด็กแรกเกิดจะต้องมีปะการังแขวนอยู่หน้าบ้านทั้งสิ้น พวกเขาเชื่อว่าปะการังจะช่วยให้ภูติวิญญาณต่างๆที่จะมาเอาวิญญาณเด็กไม่กล้าเข้ามาใกล้บ้านและยังช่วยคุ้มครองภัยต่างๆไม่ให้เกิดขึ้นกับเด็กอีกด้วย



สีของปะการังก็มีผลต่อความเชื่อต่างๆของคนโบราณ อย่างปะการังสีแดงที่เข้มจัด คนที่เป็นผู้นำ หรือนักรบเท่านั้นที่จะสามารถครอบครองได้ สีชมพูจะเหมาะกับนักคิด นักเขียน สีส้มเหมาะกับพ่อค้า นักการเงิน และสีน้ำตาลเหมาะกับผู้ใช้แรงงาน

ในด้านการบำบัดรักษาโรค เชื่อกันว่าจะช่วยให้กำลังใจในยามที่ร่างกายอ่อนแอ ขาดกำลังใจ แต่ชาวอินเดียเชื่อกันว่า ปะการังจะช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศ กระตุ้นพลังทางเพศได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนของเลือด ช่วยรักษาโรคในช่องปาก เหงือกและฟันที่ไม่แข็งแรง ช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับระบบการย่อยอาหาร

ไข่มุกดำ ควบคุมธาตุไฟ เสริมเสน่ห์ชวนหลงใหล

ก่อนหน้านี้ ผมเคยได้พุดถึงไข่มุกไปในบทความ http://jewellerybeliefs.blogspot.com/2010/09/blog-post_679.html สามารถย้อนกลับไปอ่านกันได้ วันนี้เราจะมาพูดถึงไข่มุกดำกัน



เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าไข่มุก เป็นอัญมณีที่แสดงพลังของธาตุน้ำ โดยทางโหราศาสตร์ ได้กล่าวเอาไว้ว่าไข่มุกเป็นอัญมณีตัวแทนของพระจันทร์ สีของไข่มุกที่แสดงถึงพระจันทร์ขณะที่เพ็ญคือไข่มุกสีน้ำนมหรือเหลืองทอง ส่วนสีของไข่มุกที่แสดงถึงพระจันทร์วันแรม 15 ค่ำ (วันอมาวสี) ก็คือไข่มุกสีดำ


ไข่มุกดำนั้นจะแสดงพลังของพระจันทร์ในคืนเดือนแรม ที่แสงของพระจันทร์นั้นจะไม่บดบังแสงของดาวเคราะห์อื่นๆ โดยยอมปล่อยให้ดาวเคราะห์อื่นๆ ได้ส่งพลังงานลงมายังโลกได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นท่านใดที่มีดาวเคราะห์ภาคกลางคืน (ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวเสาร์ ราหู) ในดวงชะตาเข้มแข็งและให้ผลดีกับดวงชะตา จึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะสวมใส่ไข่มุกดำ เพื่อช่วยกระตุ้นให้ดาวเคราะห์เหล่านั้นได้แสดงพลังด้านดีของมันได้อย่างเต็มที่



แต่ไข่มุกดำนั้นก็ไม่เหมาะกับท่านที่มีดาวเคราะห์ภาคกลางวัน (พระอาทิตย์ พระจันทร์ ดาวอังคาร ดาวพฤหัส) ที่เข้มแข็ง เพราะจะไปทำให้ดาวพวกนั้นเกิดการสูญเสียพลังไป จึงควรสวมใส่ไข่มุกสีอื่นแทนจะดีกว่า โดยควรสวมใส่ไข่มุกที่มีสีออกโทนสว่าง เช่น สีขาวน้ำนม สีทอง สีเงินยวงและสีชมพู


ดังนั้นจึงทำให้เห็นว่าพระจันทร์นั้นมีทั้งด้านสว่างและด้านมืด ซึ่งแต่ละด้านของพระจันทร์นั้นก็จะให้ผลต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าด้านไหนของพระจันทร์จะให้คุณกับเราที่สุด และไม่จำเป็นว่าด้านมืดของพระจันทร์จะต้องเป็นเรื่องไม่ดีเสมอไป เพราะบางครั้งด้านมืดของพระจันทร์นั้นสามารถให้คุณมากกว่าด้านสว่างก็ถมไป ขึ้นอยู่กับดวงชะตาของเรามากกว่าว่าเหมาะกับด้านไหนที่สุด



ความเชื่อทางอัญมณีศาสตร์เชื่อว่า พลังด้านบวกของไข่มุกดำ โดยจะทำให้ผู้ที่สวมใส่มีพลังจิตที่เข้มแข็ง คงกระพันชาตรี มีพลังป้องกันและควบคุมภูตผีปิศาจได้ สามารถควบคุมจำกัดพลังของธาตุไฟในร่างกายไม่ให้ร้อนจนเกิดไป (ธาตุไฟแตก) ช่วยรักษาผิวพรรณของผู้สวมใส่ให้ดูอ่อนกว่าวัย เสริมเสน่ห์ชวนหลงใหลน่าค้นหา ช่วยเพิ่มโชคลาภโดยเฉพาะในด้านการเสี่ยงโชคหรือการพนัน

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.horamahawed.com/content.php?cate=gem&id=16

คาร์เนเลียน ก่อเกิดความรอบรู้ ทำให้ความปราถนาเป็นจริง



คาร์เนเลียน (Carnelian) เป็นหินประเภทคัลซิโดนี มีหลายสี ที่มาของชื่อเพราะสีจะเหมือนเมล็ดของลูกเชอรี่ มีลักษณะโปร่งใสจนแสงทะลุได้และแบบทึบแสง พบมากใน อุรุกวัย อินเดีย เปรู เชค
โรมาเนีย

ในอารยธรรมโบราณทางยุโรบ ตะวันออกกลาง อเมริกาหรือทางเอเชีย ได้พบหลักฐานจากแหล่งโปราณสถานต่างๆว่ามีการนำคาร์เนเลียนมาใช้เป็นเครื่องประดับและเครื่องราง เช่น เครื่องประดับของมัมมี่ฟาโรห์ในอียิปต์ โดยเชื่อว่าคาร์เนเลียนจะเป็นเครื่องนำทางดวงวิญาณไปสู่โลกหน้าอย่างปลอดภัย ในทางตะวันออกกลางก็มีการขุดพบหลุมฝังศพของพระนางพูอาบี(Pu-Abi) พระราชินีของอาณาจักร์สุเมเรียน ซึ่งศพถูกประดับด้วยอัญมณีหลายชนิดซึ่งมีคาร์เนเลียนรวมอยู่ด้วย



คาร์เนเลียนมักจะถูกนำมาทำเป็นเครื่องประดับร่างกายชนิดต่างเช่น แหวน สร้อย เป็นต้น รวมทั้งใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา เนื่องจากเชื่อกันว่าคาร์เนเลียนมีอำนาจที่จะคุ้มครองผู้สวมใส่จากภูติผีปีศาจ กระตุ้นให้เกิดความหวังมีความสุขและโชคดี จึงมักจะนำมาประกับตามร่างกายหรือใช้เป็นสัญลักษณ์หรือตราประจำตัว


เชื่อกันว่าคาร์เนเลียนเป็นตัวแทนของพลังธรรมชาติก่อให้เกิดความรอบรู้ ช่วยคุ้มครอง ทําให้ความปรารถนาเป็นจริงตามความคิด กล้ายอมรับความเป็นจริงของชีวิต วงจรชีวิตที่มีการเกิด แก่ เจ็บ ตายปรับปรุงการวิเคราะห์ การหยั่งรู้ เรียนรู้ให้ชัดเจนกระตุ้นธุรกิจให้ประสบผลสําเร็จ รู้จักการเลือกชีวิตให้ถูกต้องขจัดสิ่งรบกวน ทําให้มีสมาธิ ขับไล่อารมณ์เฉื่อยชากระตุ้นร่างกายให้กระปรี้กระเปร่าเลือดสูบฉีดแรงกระตุ้นและเร้าอารมณ์ถ้าสวมใส่เป็นเวลานานติดต่อกัน ป้องกันอาการเกิดอารมณ์โกรธหรือความขุ่นเคืองที่รุนแรง

ในด้านทางการรักษา คาร์เนเลียนมักจะถูกใช้รักษาอาการของคนที่เป็นเนื้องอก ทําให้เลือดหยุดไหล บรรเทาอาการหอบหืด การแพ้อากาศ ผื่นคัน อาการปวดหลังส่วนล่าง มีประโยชน์สําหรับผู้หญิงที่มีระบบรอบเดือนและระบบสืบพันธ์ไม่ปกติหรือไม่สมบูรณ์

มุกดา เสริมความรัก นำมาซึ่งโชคดีและร่ำรวย



มุกดา (moonstone) เป็นแร่แฟลสปาร์ เป็นหนึ่งในนพเก้าของไทย มีทั้งสีขาวหมอกมัวคล้ายหมอกน้ำค้างยามเช้า และสีอื่นๆเช่น ขาว ส้ม น้ำผึ้ง ขาวใส เทา น้ำตาล ส่วนมากแล้วมุกดาจะมีเนื้อขุ่น มีลักษณะพิเศษมีเหลือบรุ้งสีออกฟ้าสีนวลคล้ายดั่งดวงจันทร์



มีความเชื่อว่ามุกดามีกำเนิดจากแสงของพระจันทร์ บางชิ้นเกิดเส้นพาดกลางคล้ายตาแมว (คล้ายปรากฏการณ์ที่พบในไพฑูรย์แต่จะไม่คมชัดมากเท่า) สวยงามมาก ด้วยเหตุนี้จึงนิยมเจียรไนมุกดาเป็นทรงหลังเต่า การใช้งานควรระมัดระวังการกระทบเสียดสี ราคานั้นไม่สูงเพราะหาง่ายแหล่งที่สำคัญเช่น พม่า ศรีลังกา (สองแหล่งนี้คูณภาพสูงที่สุด) อินเดีย มาดากัสการ์ บราซิล สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก แทนซาเนียและอื่นๆ

มุกดาเป็นหินเสริมสิริมงคล นำมาซึ่งความโชคดีและร่ำรวย ช่วยในการรับรู้ความรู้สึกต่างๆได้ดีขึ้น โดยเฉพาะความรัก อีกทั้งยังเป็นตัวแทนของความรัก ความอ่อนโยน และความสงบสุข ช่วยเสริมพลังแห่งความพิศวาสให้กับคู่รัก นอกจากนี้ยังเชื่อว่ามุกดาช่วยให้รวบรวมสติปัญญาและมุมมองดีๆในการแก้ปัญหาได้ดีขึ้น รวมทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของระบบต่างๆ ภายในร่างกายให้เป็นปกติได้อีกด้วย



ในด้านทางการบำบัดรักษา เชื่อว่ามุกดาช่วยบำบัดปัญหาต่อมไร้ท่อ โรคลมชัก ไทรอยด์ ท้องเสีย และยังดีต่อต่อมใต้สมองอีกด้วย

* วิธีใช้เพื่อความรัก ความเมตตาและความสัมพันธ์ระหว่างเพศ กำอัญมณีไว้ในมือ ถ่ายทอดความรัก ความเมตตาผ่านไปที่หินจะรู้สึกดีขึ้น

อำพัน เสริมบารมีรอบด้าน ป้องกันโรคภัย



อำพัน เป็นซากดึกดำบรรพ์ของยางไม้ เป็นสิ่งมีค่าด้วยสีสันและความสวยงามของมัน อำพันที่มีคุณภาพดีเยี่ยมจะถูกนำมาผลิตเป็นเครื่องประดับและอัญมณี แม้ว่าอำพันจะไม่เป็นแร่แต่ก็ถูกจัดให้เป็นพลอย อำพันมีองค์ประกอบเป็นสารเนื้อผสม ประกอบไปด้วยสารมีชันหลายชนิดที่ละลายได้ในเอทานอล ไดเอตทิลอีเทอร์ และคลอโรฟอร์ม รวมถึงสารที่ละลายไม่ได้จำพวกบิทูเมน นอกจากนี้ยังมีสารโมเลกุลขนาดใหญ่จากการเกิดพอลิเมอร์ด้วยการเติมอนุมูลอิสระของสารดั้งเดิมในกลุ่มของแลบเดน กรดคอมมูนิก คัมมูนอล และไบโฟร์มีน[4] สารแลบเดนนี้เป็นไดเทอร์ปีน (C20H32) และไทรอีนซึ่งหมายความว่าเป็นโครงร่างทางอินทรีย์สารของอัลคีน 3 กลุ่มที่ยอมให้เกิดพอลีเมอร์ เมื่ออำพันมีอายุมากขึ้นเรื่อยๆก็จะมีการเกิดพอลิเมอร์มากขึ้นเรื่อยๆเช่นกันพร้อมๆไปกับปฏิกิริยาไอโซเมอร์ การเชื่อมโยงข้าม และการจัดเป็นวง

อำพันหมายถึงแอมเบอร์ในภาษาอังกฤษสืบทอดมาจากคำในภาษาอาราบิกโบราณว่า “แอนบาร์กริส” หรือ “แอมเบอร์กริส” ซึ่งหมายถึงวัตถุที่เป็นน้ำมันหอมที่ขับออกมาโดยวาฬสเปิร์ม ภาษาอังกฤษยุคกลางและฝรั่งเศสยุคเก่าเขียนเป็น ambre ส่วนภาษาลาตินเก่าเขียนเป็น ambra หรือ ambar เป็นวัตถุที่ลอยน้ำได้และมักถูกซัดไปสะสมตัวอยู่ตามชายหาด ด้วยความสับสนในการใช้ศัพท์ มันจึงถูกนำมาใช้เรียกยางไม้ที่กลายเป็นซากดึกดำบรรพ์ซึ่งก็พบได้ตามชายหาดได้เช่นกัน มีน้ำหนักเบากว่าหินแต่ก็เบาไม่เพียงพอที่จะลอยน้ำได้



อำพันที่เก่าแก่ที่สุดพบในยุคคาร์บอนิเฟอรัสหรือประมาณ 345 ล้านปีมาแล้ว ส่วนอำพันที่เก่าแก่ที่สุดที่มีแมลงอยู่ในเนื้อของมันด้วยนั้นได้มาจากยุคครีเทเชียสหรือประมาณ 146 ล้านปีมาแล้ว

ในโลกยุคหินถึงยุคโบราณ ล้วนเชื่อกันว่าอำพันบรรจุรวมไว้ด้วยพลังสุริยะ สมัยกรีกและโรมันเรียกอัญมณีชนิดนี้ว่า อิเล็กตรอน (elektron) ซึ่งหมายถึง "สิ่งที่เกิดจากดวงอาทิตย์" เพราะเห็นว่าอำพันไม่เพียงแต่มีความแวววาว มันยังมีพลังประจุไฟฟ้าด้วยเช่นกัน ทำให้ชาวกรีกบังเกิดความคิดว่า หากผู้ใดนำอำพันมาทำเป็นเครื่องประดับตกแต่งร่างกาย พลังจากอำพันจะช่วยเสริมสร้างพลังชีวิตและช่วยให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง



นอกจากนี้ยังเชื่อว่าจะช่วยเสริมความเป็นมงคลในด้านต่างๆ ได้แก่ ความงดงาม ความรัก เสริมเสน่ห์ด้านความเมตตามหานิยม จิตใจกล้าแข็ง ปกป้องคุ้มครอง บำบัดสุขภาพ และเป็นหินแห่งความโชคดี



ทางด้านการบำบัดรักษา พลังของอำพันจะส่งผลดีในยามที่มีปัญหาวุ่นวาย มีคำถามที่ขบไม่แตกคิดไม่ออกหรือหาทางออกไม่ได้ ให้จุดเทียนสีขาววางไว้บนพื้น ทรุดลงนั้นตรงหน้า กำอำพันก้อนขนาดเหมาะมือไว้ในมือ แล้วให้คิดถึงปัญหาเหล่านั้น พลังของอำพันจะสามารถช่วยเปิดโลกทัศน์ให้คุณมองเป็นหนทางแก้ไข นำความสุขสนุกสนานมาให้แก่ชีวิตคุณได้อีกครั้งหนึ่ง แต่อำพันที่มีคุณสมบัติในด้านการบำบัดเกี่ยวกับสุขภาพร่างกายนั้น ควรเป็นเป็นอำพันที่มีเนื้อใสสะอาด ปราศจากสิ่งแปลกปลอม เช่น ซากพื้นซากสัตว์เพราะให้พลังได้ดีกว่า
Free advertising
top