พระอินทร์อวตารประทานทรัพย์ สุดยอดเครื่องรางเสน่ห์เมตตา



พระอินทร์อวตารประทานทรัพย์ สร้างและอธิฐาน โดยอาจารย์เม้ง ขุนแผน สำหรับผู้ที่บูชาจะต้องบูชาด้วยความเคารพ เชื่อมั่น แล้วสิ่งที่ท่านขอจะประสบผลสำเร็จ ช่วยเพิ่มเสน่ห์เมตตา บัลดาลโชคลาภ หนุนดวง ค้าขายรุ่งเรือง ปัดเป่าอุปัทวภัยต่างๆ บรรเทาทุกข์ จากอาการเจ็บป่วย

พระอินทร์อวตารประทานทรัพย์ ลักษณะเป็นรูปของสัตว์ในตำนานที่ชื่อ แมลงสี่หูห้าตา เป็นเรื่องเล่าที่สืบทอดต่อกันมา และกลายเป็นจุดเริ่มต้นการสร้างพระธาตุดอยเขาควายในจังหวัดเชียงราย เมื่อประมาณเมื่อ 1,000 ปี มาแล้ว

โดยเรื่องเล่ามีอยู่ว่า มีเมืองหนี่งนามว่า นครพันธุมติ ครองเมืองโดย พระเจ้าพันธุมติราชได้ปกครองเมืองอย่างร่มเย็นเป็นสุข ในเมืองนี้ มีครอบครัวหนึ่งมีด้วยกัน 3 พ่อแม่ลูก อยู่อย่างยากจนยึดอาชีพขอทาน มีลูกชายผู้เดียวนามว่า “อ้านทุกคตะ” มีอายุได้ 4 ขวบ แม่ก็มาด่วนตายด้วยโรคร้าย การที่ออกไปขอทานทุกวัน อ้ายทุกคตะ ได้รับเงินจากผู้ใจบุญ เมื่อเติบใหญ่มีอายุได้ 12 ขวบ ได้ไปรับจ้างเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย ของผู้ใหญ่บ้าน ได้ไม่กี่ปีพ่อก็มาล้มป่วยตายไปอีกคนหนึ่งจึงเหลืออยู่เพียงลำพัง ก่อนตายก็ได้อบรมและสั่งสอนลูกชาย ให้เป็นคนมีคุณธรรม เชื่อฟังที่ผู้ใหญ่สอน เมื่อพ่อได้เสียชีวิตไปแล้วให้นำร่างไปฝังไว้ที่ป่า จนกว่าหัวกะโหลกจะหลุด แล้วให้นำไปสักการบูชาที่บ้าน เมื่ออายุได้ 17 ปี ก็ให้ลากหัวกะโหลกขึ้นดอย ทางตะวันตกเฉียงใต้ ถ้าหัวติดตรงไหนก็ให้ฝัง แล้วทำบ่วงแร่วจับสัตว์ตรงนั้น มีสัตว์ตัวใดมาติดให้จับมาเลี้ยง

อ้ายทุกคตะ ทำตามที่พ่อบอกทุกอย่าง หลังจากที่ทำแล้วดักจับสัตว์ 2 - 3 วันหลังต่อมา ปรากฏว่ามีสัตว์ประหลาดติดที่บ่วงแล้ว ลักษณะตัวดำเหมือนหมี ขนยาว มี 4 หู 5 ตา ซึ่ง อ้ายทุกคตะ เข้าใจว่าพ่อได้กลับมาเกิดเป็นสัตว์ตัวนี้ จึงได้นำสัตว์ตัวนี้มาเลี้ยง และไม่ให้ใครพบเห็นเจ้าสัตว์ตัวนี้ ซึ่งทุกครั้งที่เขานำข้าวและน้ำมาให้ มันก็ไม่ยอมกินอะไรที่เลย จนวันหนึ่ง อ้ายทุกคตะ ได้ก่อกองไฟ แล้วถ่านไฟกระเด็นไปใกล้ แมง 4 หู 5 ตา มันหยิบกินถ่านไฟแดงๆนั้นด้วยความหิวกระหาย สร้างความแปลกใจให้อ้ายทุกคตะ วันต่อมามันได้ถ่ายอุจาระเป็นทองคำ จากนั้นอ้ายทุกคตะ ได้ก่อกองไฟเพื่อนำถ่านไฟมาให้มันกินเป็นประจำ และได้ขุดดินฝังทองที่แมง 4 หู 5 ตานั้นได้ถ่ายออกมาไว้ทั่วไร่นา

ต่อมา นางสีมา พระราชธิดาของพระเจ้าพันธุมติราช มีหน้าตาสวยงาม จนเหล่าเจ้าเมืองต่างๆ หลงใหล ขอมาเป็นมเหสีพระ เจ้าพันธุมติราชจึงตัดสินใจหากต้องการจะได้นางสีมาเป็นมเหสี ให้สร้างรางรับน้ำฝนทองคำจากบ้านมายังปราสาท ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่เป็นไปได้ยาก แต่เรื่องนี้ได้รู้ถึง อ้ายทุกคตะ จึงได้จ้างช่างสร้างรางรับน้ำฝนด้วยทองคำจากบ้านไปถึงปราสาทช่างทำรางน้ำฝนด้วยทองมีความยาวสุดลูกหูลูกตา เป็นที่อัศจรรย์ต่อผู้พบเห็น และพระเจ้าพันธุมติราชทรงทราบ จึงสั่งให้สร้างถนนไปถึงบ้านอ้ายทุกคตะ เมื่อได้ฤกษ์ที่ดี อ้ายทุกคตะก็ได้อภิเษกสมรสกับพระนางสีมา หลังจากที่ได้อภิเษกเป็นราชบุตรเขย ทรงถามว่าได้ทองคำมากมายนี้มาจากที่ใด อ้ายทุกคตะ จึงตอบไปว่าได้มาจาก แมง 4 หู 5 ตา ากนั้นจึงได้สั่งให้ขุดทองใช้เวลา 7 วัน 7 คืน กว่าจะหมด เพื่อนำมาเป็นทรัพย์สมบัติ และนำตัวแมง 4 หู 5 ตา มาให้ ระเจ้าพันธุมติราช ต้องการจะสัมผัสตัว เมื่อเปิดกรงออกแมงสี่ 4 หู 5 ตา ได้หลุดออกไปอีก พระราชาจึงออกวิ่งตามจนถึงหน้าถ้ำเป็นที่ของแมง 4 หู 5 ตา เคยติดบ่วงแร้ว พระราชาได้ตามเข้าไปในถ้ำแล้วได้เกิดถ้ำถล่มลงมาปิดทางเข้า พระราชาติดอยู่ในถ้ำพวก เหล่าเสนาตามหาไม่เจอ เมื่อถูกขังอยู่ในถ้ำก็ได้แต่โทษตัวเอง ด้วยความโลภจึงถูกขัง และคิดว่าตนจะสวรรคตอยู่ในถ้ำ เห็นถ้ำมีช่องอากาศจึงตะโกนผ่านช่องเล็กๆ เรียกเหล่าเสนาอำมาตย์ให้ตามพระมเหสีทั้ง 7 มา และสั่งให้ทั้ง 7 คนพากันสละความอายด้วยการเปิดผ้าถุงให้เห็นสรีระและอวัยวะภายในของมเหสีทั้ง 7 ให้เห็นเป็นวาระสุดท้ายก่อนสวรรคต พระมเหสีต่างเกี่ยงด้วยความอาย แต่พระมเหสีคนที่ 7 จึงตัดสละความอาย เปิดผ้าถุงให้ดู ทำให้เห็นอวัยวะเพศหญิง จึงเกิดอัศจรรย์มีเสียงหัวเราะจากถ้ำทำให้ปากถ้ำเปิด พระราชาจึงรอดตาย จากนั้นเรื่องราวก็สงบบ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุขดังเดิม

พระเจ้าพันธุมติราชได้สละราชสมบัติให้กับ อ้ายทุกคตะผู้เป็นบุตรเขยสืบราชวงศ์สืบไป และเปลี่ยนนามใหม่ว่า “พระยาธรรมิกะราช” เฉลิมฉลอง 7 วัน 7 คืน มีพระสงฆ์เผยแพร่พระพุทธศาสนา นำพระบรมสารีริกธาตุนิ้วก้อยข้างซ้ายของพระพุทธเจ้ามาถวาย ในฐานะที่เป็นเจ้าเมือง พระยาธรรมิกะราช โปรดให้สร้างวัดวาอารามต่าง และได้สร้างวัดดอยเขาควายแก้ว โดยนำ พระบรมสาริกธาตุนิ้วก้อยข้างซ้ายของพระพุทธเจ้าบรรจุใส่ไว้ในเจดีย์วัดดอย เขาควายแก้ว บริเวณที่สร้างวัดเป็นยอดดอยที่มีถ้ำแมง 4 หู 5 ตา มาติดบ่วงแร้ว

คาถาบูชา พระอินทร์อวตารประทานทรัพย์

สาธุ อะระหัง นะมามิ พระอินทร์ อากาเสจะ พุทธทิปังกะโร นะโมพุทธษยะ อิอะระณัง อะระหัง กุสะลาธัมมา สัมมาสัมพุทโธ ทุสะนะโส นะโมพุทธายะ พระโสนามะ ยักโข เมตตามหาลาภะ ปิยังมะมะ ทันตะ ปริวาสะโภ วาสุนี หะเตโหนตุ ชัยมังคลานิ

สวด คาถากี่จบก็ได้เป็นมหาโชค มหาลาภ สวดทุกวันกันไฟไหม้ กันฟ้าผ่า อันตรายต่างๆ เป็นศิริมงคลแก่ผู้บูชายิ่งนัก เดล็ดการบูชาควรจุดก้อนกำยานหอมบูชาด้วยยิ่งดี ในตามราได้กล่าวไว้ แมงสี่หู ห้าตา กินถ่านไฟแดง ขี้เป็นทองคำ

ที่มา http://www.horamahawed.com/content.php?cate=kong_kang&id=21




พระอุปคุต หรือ พระบัวเข็ม เป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นเพื่อแทนพระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้าที่สำคัญรูปหนึ่ง ที่มีความเป็นเลิศทางอิทธิฤทธิ์เช่นเดียวกันกับ พระโมคคัลลาน์ เชื่อกันว่าพระอุปคุตมีอิทธิฤทธิ์ปรามพระยามาร มีเรื่องเล่าว่าท่านได้เป็นพระอรหันต์หลังจากพุทธกาลแล้ว 200 ปี โดยจำพรรษาอยู่ที่สะดือทะเล และท่านเคยปราพระยามาร (พระยาวัสวดี) จนราบคาบ นอกจากจะเรียกว่า พระอุปคุต แล้วยังมีการเรียก พระอุปคุตเถระ หรือ พระเถรอุปคุต ชื่อนี้เรียกเป็นภาษาชาวบ้าน โดยนำเอาคำว่า เถระ อันเป็นสัญลักษณ์ที่ชี้บอกถึงความมั่นคง ในพระธรรมวินัย หรือบวชพระครองเพศสมณะมาแล้วตั้งแต่ ๑๐ พรรษาขึ้นไป และยังมีชื่อเรียกอื่นๆ อีก ดังเช่น พระนาคอุปคุต พระกีสนาคอุปคุต ฯลฯ

ในปัจจุบันในหมู่ชาวล้านนายังเชื่อกันว่า พระอุปคุตนั้นยังมีชีวิตอยู่ ในทุกวันขึ้น 15 ค่ำที่ตรงกับวันพุธ ชาวล้านนาจะเรียกว่าเป็น วันเพ็งปุ๊ด พระอุปคุตจะออกบิณฑบาตในร่างเณรน้อย และจะออกมาเวลาเที่ยงคืน จนกระทั่ง ตี๋นฟ้ายก หรือแสงเงินแสงทองออกมา จึงเนรมิตกายหายไป เชื่อกันว่า หากผู้ใดมีบุญบารมีได้ใส่บาตรพระอุปคุต มักทำให้ร่ำรวยเงินทอง ปราศจากภัยทั้งปวง มีสมาธิจิตดี ไม่หลงลืม ชีวิตเป็นสุข  ด้วยเหตุนี้จึงเกิดประเพณีตักบาตรกลางคืนขึ้น

รูปลักษณะของพระอุปคุต ที่เป็นรูปเคารพโดยทั่วไป มักทำเป็นรูปองค์พระนั่งอยู่ภายในหอยสังข์ มีขนาดศีรษะค่อนข้างใหญ่ เน้นส่วนคิ้ว ตา จมูกให้เห็นชัดเจน และเนื่องจากที่อาศัยจำพรรษาของพระอุปคุตอยู่ในปราสาทแก้วกลางมหาสมุทร จึงมักทำรูปสัตว์น้ำเป็นสัญลักษณ์ประกอบอยู่ด้วยเสมอ ที่มาของการเรียกว่า พระบัวเข็ม นั้นเนื่องจากเป็นปางที่ พระอุปคุต ท่านเข้านิโรจสมาบัติในสะดือทะเล และเป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะที่ดูจะผิดแปลกแตกต่างไปจากพระพุทธรูปองค์ อื่นๆมาก พระอุปคุต หรือ พระบัวเข็ม นั่น ท่านจะนั่ง บนฐานกุ้ง หอย ปู ปลา และบนพระเศียรมีใบบัวคว่ำลงมาคลุม มีตุ่มนูนเล็กๆ ขึ้นบริเวณพระนลาฏ พระชานุ พระพาหา และปลายพระบาทขององค์พระ เรียกว่า“เข็ม” อันเป็นเครื่องหมายที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุหรือพระธาตุของพระอรหันต์ต่างๆ

จะสังเกตุได้ว่าเข็มติดอยู่ 9 จุด คือที่หน้าผาก 1 ไหล่ 2 สะโพก 2 มือ 2 เข่า 2 เดิมนั้นไม่มีการติดเข็มที่พระอุปคุต แต่ใช้พระบรมสารีริกธาตุติดที่องค์พระ 9 จุดดังกล่าว จึงเป็นที่มาของชื่อ พระบัวเข็ม ชาวล้านนารู้จักพระอุปคุต ในนามผู้ปกป้องคุ้มครองภัย โดยเฉพาะการมีปอยหลวง งานพิธีกรรมของส่วนรวม จะมีการอาราธนาพระอุปคุตขึ้นจากแม่น้ำ มาคุ้มครองการจัดงาน เพื่อมิให้เกิดเหตุเภทภัย และให้งานลุล่วงไปด้วยดี

วิธีสวดขอลาภ ให้จุดธูปเทียนบูชา พร้อมกับดอกไม้หอม เครื่องหอม น้ำหอมต่างๆ เทหยดใส่ในขันน้ำมนต์ ณ ที่บูชาพระ ในร้านค้าขาย หรืออาคารสำนักงาน แล้วอธิษฐานขอให้กลิ่นควันธูปเทียน ลมพัดไปทางไหน ขอให้ดลใจผู้คนเข้ามาอุดหนุนตลอด ขอให้ดำเนินกิจการด้วยความราบรื่น มีความสำเร็จสมปรารถนาทุกประการ

ที่มา http://www.horamahawed.com/content.php?cate=kong_kang&id=19http://www.horamahawed.com/content.php?cate=kong_kang&id=20

ตะกรุดยันต์หนีบ พลังมหาเวทย์ ไสยเวทย์ ตำนาน 700 ปี

“ตะกรุด” เป็นเครื่องรางของขลังในรบทัพจับสึกเข้าสู่สนามรบระหว่างกัน และเป็นเครื่องรางของขลังของพระเกจิอาจารย์แต่ละยุคแต่ละสมัยคงไว้ มีความเข้มขลัง ศักดิ์สิทธิ์ ดีในทางแคล้วคลาด คงกรพันชาตรี ป้องกันภยันอันตราย ภัยพิบัติทั้งปวง รวมทั้งด้านเมตตามหานิยม ค้าขาย โชคลาภ กลับดวง พลิกชะตา เลื่อนยศ ร้ายกลายเป็นดี เกจิอาจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษนิยมสร้าง ตะกรุด เพื่อป้องกันอันตรายและตะกรุด ได้พัฒนาการจากดอกใหญ่และหนาใช้ในการศึกสงคราม ได้มีการลดขนาดลงเพื่อเป็นเครื่องรางติดตัวหรือสามารถตอกฝังเข้าในร่างกายได้

ตะกรุดแผ่นยันต์หนีบเป็นตำรับวิชายันต์หนีบของล้านนาเฉพาะท้องถิ่นโบราณที่เก่าแก่สืบทอดกันมาเป็นเวลานับร้อยๆปี ให้คนได้บูชา การกระทำพิธีปลุกเสกได้เชิญครูบาอาจารย์และเทพเทวดาลงมาช่วยปลุกเสกจึงมีความศักดิ์สิทธิ์และมีปาฏิหาริย์ตามความเชื่อ ซึ่งเป็นวิชาที่มีความคล้ายกับการทำเสน่ห์ยาแฝด คือ การผูกจิตใจคน ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ปัจจุบันจะเลือนสูญหายมีผู้สืบทอดน้อยลง หากจะสร้างให้เกิดความเข้มขลังจริง และถูกต้องตามตำราโบราณ มีเหลือเพียงผู้เฒ่าผู้แก่ไม่กี่คนทางล้านนาที่ยังสร้างได้เข้มขลัง หาผู้สร้างได้น้อยมาก



ยันต์หนีบ เป็นยันในด้านค้าขาย เมตตามหาเสน่ห์ แม่ค้าทุกคนต้องมียันต์หนีบติดตัวไว้ติดตัว เชื่อว่าจะค้าขายดี ชายชาวล้านนาก็มักจะมียันต์หนีบติดตัวพกพาเวลาไปบ้านสาวหรืองานบุญเพื่อจะไปจีบสาว (แอ่วสาว) เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ในสมัยก่อน ปัจจุบันนี้ ยันต์หนีบมีให้เห็นตามแผงขายพระเครื่องบางแผง มาวันนี้ท่านที่สร้างยันต์หนีบได้ล้มหายตายจากไปไม่มีลูกหลานสืบทอดต่อและร่ำเรียนจึงทำให้หายไปจากล้านนา

การที่จะหายันต์หนีบ ต้องไปขอบูชาจากวัดโดยมีพระภิกษุสงฆ์ผู้มีวิชาอาคมจะจารยันต์ให้ ส่วนใหญ่แล้วจะสร้างเพื่อแจกจ่ายให้แก่ลูกศิษย์นำไปใช้ในด้านเมตตามหานิยม ผู้ที่เคยบวชเรียนและศึกษาทางด้านวิชาอาคมแล้วสึกมาเป็นฆาราวาส หรือจะไปแสวงหาหายันต์หนีบที่ กาดงัว (ตลาดค้าวัวค้าควาย) และของใช้เครื่องมือทางการทำมาค้าขาย และในจำนวนนั้นของที่นำมาขายมะยันต์ต่างๆมาค้าขายด้วย

ยันต์หนีบความแตกต่างไปตามแต่ละตำรา ส่วนใหญ่แล้วจะสร้างจากแผ่นโลหะ ที่พบเห็นมีทั้งทองแดง ทองเหลือง เนื้อเงิน แผ่นโลหะที่นำมาใช้เขียนยันต์หนีบมีความคลายๆกับแผ่นโลหะที่นำมาทำเป็นตะกรุด ต่างกันที่หลังจากลงอักขระเลขยันต์จะไม่ม้วนเป็นแท่งกลมเหมือนตะกรุด แต่จะพับเป็นสองแผ่นแล้วประกบเข้าหากัน ปลายด้านหนึ่งจะม้วนเพียงเล็กน้อย แค่พอที่จะสอดด้ายมงคล



ตะกรุดยันต์หนีบพิศวาสมหาเสน่ห์ผู้ใดมีไว้ติดตัวแล้ว จะเป็นที่รักใคร่ต่อผู้ที่พบเห็นตรึงจิตตรึงใจให้พิศวาสหลงใหล เป็นเมตตามหาเสน่ห์มหาละลวยชั้นสูง หรือชายก็ดีหญิงก็ดี ที่รักใครชอบใคร และอยากให้เขารักเราให้นำเอาใบโพธิ์ที่หล่นทางกิ่งทิศตะวันออกนำมาตัดเป็น 2 ชิ้น (หากนำใบโพธิ์ในวัดต้องชำระหนี้สงฆ์ก่อนคือต้องบูชาเอา หากหาไม่ได้จริงๆให้ใช้แผ่นกระดาษแทน) แล้วให้เขียนชื่อจริง นามสกุลจริง เราใบหนึ่ง และเขียนชื่อจริง นามสกุลจริงของคนที่เรารักหรือชอบ อีกใบหนึ่ง แล้วนำใบโพธิ์ที่เขียนไว้นำมาประกบกัน เสียบไว้ที่ตะกรุดแผ่นยันต์หนีบ นำไปบูชาแล้วท่องคาถาก่อนนอนทุกวัน ผู้นั้นจะรักเราหลงเรากังวลจิตใจจนทนอยู่มิได้ คิดถึงคนึงหาอย่างจับจิตจับใจ หรือผู้ที่มีคู่ครองอยู่แล้วอยากให้เขารักเรามากขึ้นให้เขียนชื่อลงไปเขาก็จะรักใคร่ปองดองไม่คิดนอกใจ หรือเขียนชื่อเจ้านาย เขาก็จะมีความเมตตาเอ็นดูเรา

ตะกรุดแผ่นยันต์หนีบ ผู้สร้างท่านได้ห้ามว่า อย่านำไปใช้ในทางที่ไม่ถูก ห้ามผิดลูกผิดเมีย หากกระทำกับผู้ใดแล้วต้องรับผิดชอบห้ามทิ้งขว้างทำให้เขาต้องเจ็บช้ำน้ำใจ จะมีโทษหนัก

เบี้ยแก้ เป็นเครื่องรางของขลังเป็นของเก่าแก่มาแต่ครั้งโบราณ จากนำหอยเบี้ยมาติดตัวเด็กเป็นเครื่องรางด้านโชคลาภ และคุ้มกันสรรพอันตรายต่างๆ เบี้ยแก้ ทำจากเบี้ยพลู และเบี้ยจั่น โดยเกจิอาจารย์นำปรอทธาตุศักดิ์สิทธิ์บรรจุในตัวหอยเบี้ย อุดชันโรงใต้ดินแล้วลงอักขระเลขยันต์แล้วปลุกเสกอีกครั้ง เบี้ยแก้มีการสร้างขึ้นมาสืบทอดต่อกันมา และสร้างกันหลายสายตามแต่ตำราของสำนักใครคือแต่ละสำนักนั้นจะมีวิธีบรรจุปรอทและวิธีอุดแตกต่างกันออกไป

เบี้ยแก้ เป็นหอยชนิดหนึ่งมีลักษณะหลังนูนท้องแบน เปลือกแข็ง ผิวมัน ช่องปากยาวแคบ หอยชนิดนี้ในสมัยก่อนได้นำมาเป็นอัตราของเงินเพื่อใช้แลกเปลี่ยนซื้อขาย เบี้ยนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด มี เบี้ยจั่น เบี้ยแก้ว เบี้ยนาง ส่วนใหญ่ที่พระเกจิอาจารย์มักจะใช้ “เบี้ยจั่น” นำมาสร้างเป็นเครื่องรางที่เรียกกันว่า “เบี้ยแก้” โดยประกอบพิธีปลุกเสกด้วยพุทธานุคม และเวทวิทยาคม ตามกรรมวิธี เบี้ยแก้นั้นเป็นเครื่องรางที่มีความศักดิ์สิทธิ์ช่วยให้ผู้ถือครอบครองนำไปใช้ป้องกันตัว หรือแก้ไขอันตรายต่างๆจากคุณไสย และภูตผีปีศาจตามความเชื่อ

เกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในการสร้าง “เบี้ยแก้” ท่านมีนามว่า “หลวงปู่รอด” เจ้าอาวาสวัดนายโรง (วัดสัมมัชผล) เป็นพระภิกษุที่มีผู้เคารพนับถือ และมีลูกศิษย์มากมาย ท่านยังมีความชำนาญด้านวิปัสสนากัมฐาน เก่งในด้านพุทธานุคมและเวทย์วิทยาคมในการทำเบี้ยแก้และลูกอมชานหมาก เบี้ยแก้ เป็นเครื่องรางที่ หลวงปู่รอด ท่านสืบทอดมากจาก หลวงปู่แขก เจ้าอาวาสวัดบางบำหรุ ซึ่งเป็นพระอาจรย์ของท่าน



หลวงปู่รอด ท่านจะสร้าง เบี้ยแก้อย่างง่ายๆไม่มีพิธีกรรมอะไรมากมาย แต่แฝงด้วยความขลังและศักดิ์สิทธิ์ คือลูกศิษย์คนใดต้องการให้หลวงปู่ทำเบี้ยแก้ให้ หลวงปู่ท่านก็จะสั่งให้หาวัสดุมาให้และใส่พานครูพร้อมดอกไมเทียนธูป แล้วเขียนชื่อว่าของใครจากนั้นวันรุ่งขึ้นหลังจากฉันเพลให้มารับ สิ่งที่ต้องเตรียมมามี 4 อย่างคือ หอยเบี้ย ปรอท แผ่นตะกั่วนม ชันโรงใต้ดิน

หลวงปู่ท่านจะนำปรอทที่หุงและปลุกเสกแล้วนำมาบบรรจุใส่เข้าไปในตัวหอยเบี้ย จากนั้นก็อุดด้วยชันโรงที่ปากเบี้ยไม่ให้ปรอทรั่วหรือไหลออกมานำผ้าแดงที่ลงอักขระเลขยันต์และบริกรรมคาถาสัมทับลงอีกครั้ง หรือใช้แผ่นตะกั่วนมพอกตัวหอยเบี้ยแล้วลงอักขระเลขยันต์นำด้ายสายมงคล (สายสิญจน์) ถักหุ้มลงรักใช้ลวดทองแดงขดเป็นห่วงสำหรับคล้องคอหรือคาดเอวติดตัว

ปรอทที่ใส่ในตัวเบี้ยเรียกว่า “ปรอทเป็น” เนื่องจากเวลาเขย่าจะมีเสียง ขลุกๆ ดังชัดบ้างไม่ดังชัดบ้างเนื่องจากขึ้นอยู่กับปริมาณที่ของปรอทที่ขังอยู่ในเบี้ย และอุณหภูมิของฤดูกาลเนื่องจากการขยายตัวของปรอทที่ปรับสภาพนั่นเอง เบี้ยแก้ที่ท่านทำออกมานั้นทุกขั้นตอนท่านจะทำเองจะไม่ให้ผู้ใดยุ่ง

เบี้ยแก้ ของหลวงปู่รอด วัดนายโรง เป็นอิทธิวัตถุที่ใจให้เราสดุ้งกลัวต่อเพศภัยที่เรามองไม่เห็นตัว ผู้ใดมีติดตัวแล้วย่อมป้องกันภยันอันตรายได้ทั้งปวง เป็นเมตตามหานิยม แคล้วคลาดทุกประการ คุ้มกันเสนียดจัญไรคุฯไสย แคล้วคลาด มหาอุตม์ คงกระพันทุกประการ ยาสั่งและการกระทำย่ำยีทั้งหลายทั้งปวงได้ชงัด

ที่มา http://www.horamahawed.com/content.php?cate=kong_kang&id=17
งูเหลือมเป็นสัตว์ชนิดเดียวที่มีเดือยจะมีเฉพาะงูเหลือมตัวผู้และมีอายุมาก เนื่องจากเมื่องูเหลือมตัวผู้ที่แก่ หรือมีอายุมากจะไม่ออกไปหากิน แต่จะก็จะออกเลื้อยในอาณาเขตในการนอนรอเหยื่อ เดือยของงูเหลือมงอกออกมาอยู่ตรงบริเวณรูขับถ่ายของเสีย โดยทางเดือยของมันมีหน้าที่ วงอาณาเขตวงกลมรอบๆตัวที่มันนอนรอเหยื่อ หากมีสัตว์ตัวใดหลงเข้ามาจะไม่มีชีวิตรอดออกไปได้มันก็จะเป็นอาหาร เหมือนโดนสะกดจิตให้เกิดความงงงวย ทำให้สัตว์เหล่านั้นเดินเข้าไปหาเพื่อเป็นอาหาร อย่างง่าย งูเหลือมตัวเมียก็ยังเลื้อยเข้ามาให้ผสมพันธุ์อยู่ไม่ขาด เหตุนี้โบราณจึงบอกว่าเป็นของดีที่วิเศษในตัว



พญานาคกับงูใหญ่ถือเป็นสัตว์ประเภทเดียวกัน มีตำราได้บันทึกไว้ว่า “ไม่ว่าพญานาคจะเนรมิตกายเป็นอะไรก็ตาม แต่ถ้าอยู่ในสภาวะ 5 อย่างนี้ก็จะปรากฏเป็นงูใหญ่เช่นเดิม คือ ขณะเกิด ขณะลอกคราบ ขณะสมสู่ระหว่างนาคกับนาค ขณะนอนหลับไม่มีสติ ตอนตาย” งูนอกจากจะเชื่อว่าเป็นสัตว์เทพเจ้ายังมีความเชื่อว่าเป็นเจ้าของที่หรือ แผ่นดิน งูจึงเป็นสัญญาลักษณ์ของชีวิตและความอุดมสมบูรณ์ในทางโลก

เดือยงูเหลือมที่จะนำมาใช้นั้นจะต้องเลือกเอาตัวที่ตายพราย คือ แก่ตาย หรือตายโหง คือมีอุบัติเหตุ เช่น ไฟป่าคลอกตาย เป็นต้น งู 1 ตัว จะมีเดือย 1 คู่ งอกอยู่บริเวณทวารขับถ่ายของเสีย งูเหลือมที่ตัวใหญ่และมีอายุมาก ขนาดของเดือยใหญ่เล็กขึ้นอยู่กับขนาดของลำตัวและอายุด้วย ในตำราโบราณบอกว่า “เดือยงูเหลือม” เป็นของดีวิเศษจากธรรมชาติซึ่งอาถรรพอยู่ในตัว และยิ่งนำไปเข้าพิธีปลุกเสกก็จะมีพลังเพิ่มขึ้น




พระ อาจารย์แวกาย ท่านได้รวบรวม เดือยงูเหลือม จากประเทศกัมพูชา โดยมีลูกศิษย์มีอาชีพเป็นพรานป่าเก็บสะสมไว้ ที่ได้มาจากบริเวณเชิงเขากุเลน โดยเลือกเอา “งูเหลือมที่ตายพราย” แล้วมาทำพิธีปลุกเสก คุณวิเศษของ “เดือยงูเหลือม” เป็นวัตถุอาถรรพจากธรรมชาติ ใช้ในด้านของการค้าขายเพราะลูกค้าจะเข้ามาหาเอง เมตตามหาเสน่ห์ อำนาจบารมี

งูเป็นสัญญาลักษณ์ของความสมบูรณ์จึงให้โชค ลาภกับเจ้าของเฉพาะการเสี่ยงโชค เดือยงูเหลือมได้ผ่านพิธีปลุกเสกจากพระอาจารย์แวกายที่ทรงอานุภาพยิ่งขึ้น โดยสองข้างของเดือยงูเหลือมที่โค้งเข้าหากันและปิดทองคำเปลว มีความหมาย การเก็บเกี่ยวเงินทองและโชคลาภให้เข้ามาอย่างไม่ขาดสาย  และเป็นเสน่ห์เมตตาแก่ผู้ที่พบเห็น การพันด้วยด้ายมหามงคลสีแดง เป็นสีที่ใช้กับเทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะยิ่งเพิ่มฤทธิ์อำนาจบารมีมากขึ้น สามารถสำเร็จดั่งใจปรารถนาในทุกด้านๆตามต้องการ ด้ายมหามงคลสีแดงยังประดุจสีเลือดที่ให้เดือยงูเกิดอาถรรพเหมือนมีชีวิตอยู่ ตลอดเวลา

ที่มา http://www.horamahawed.com/content.php?cate=kong_kang&id=16

รูเบลไลต์ อัญมณีแห่งสุริยเทพยามรุ่งอรุณ

รูเบลไลต์ (Rubel Lite) เป็นอัญมณีที่อยู่ในกลุ่มของทัวร์มาลีน (Tourmaline) มีส่วนผสมของอะลูมิเนียม เหล็ก แมกนีเซียม โซเดียม ลิเทียมหรือโปแตสเซียม เป็นอัญมณีที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะเป็นอัญมณีที่มีหลากหลายสี คุณอาจจะพบทุกสีได้ในเม็ดเดียวกัน



อัญมณีแห่งสุริยเทพยามรุ่งอรุณ จะเป็นทัวร์มาลีนที่มีสีชมพูอมแดง และที่จะเป็นรูเบลไลต์นั้น จะต้องเป็นอันที่มีสีชมพูอมแดงเข้มหรือชมพูเข้า ซึ่งจัดเป็นทัวร์มาลีนสีชมพูเกรดดี มักสวมใส่แทนทับทิมที่เป็นอัญมณีตัวแทนของสุริยเทพหรือพระอาทิตย์ได้

ในคัมภีร์ครุฑปุราณะ (गरुड पुराण - GARUDA PURANA) นั้นจะถือว่าอัญมณีทับทิมนั้นเป็นอัญมณีตัวแทนของพระอาทิตย์ ซึ่งเป็นประธานแห่งสุริยจักรวาล โดยกำหนดให้มีสีดั่งทับทิม คือ สีแดงโทนชมพู ซึ่งชาวอินเดียถือว่าอัญมณีแห่งสุริยเทพนี้จะนำมาซึ่งปัญญาที่ชาญฉลาด การขับไล่ความมืดมิดทั้งภายในและภายนอกของร่างกายให้หมดไป นำมาซึ่งความโอ่อ่าอันเปี่ยมไปด้วยอำนาจวาสนาต่างๆ นานา

ส่วนชาวกรีกก็เชื่อกันว่ารูเบลไลต์นี้เป็นอัญมณีแห่งพระอาทิตย์ยามเช้าที่สดใส อันจะนำมาซึ่งชีวิตใหม่ พลังงานใหม่ๆ นำมาซึ่งความสดใสกระปรี้กระเปร่าแบบเด็กวัยรุ่น
อีกทั้งยังเชื่อว่ารูเบลไลต์นี้ได้รับพลังส่วนหนึ่งมาจากสุริยเทพอพอลโล (APOLLO) ซึ่งเป็น 1 ใน 12 มหาเทพแห่งเทือกเขาโอลิมปัส อันเป็นเทพเจ้าแห่งการทำนาย, การแข่งขันด้านกีฬา, การดนตรี, กวี และการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ


ดังนั้นชาวกรีกจึงเชื่อกันว่าผู้ใดที่สวมใส่รูเบลไลต์ติดร่างกายไว้เป็นประจำจะทำให้เขาผู้นั้นมีสุขภาพที่แข็งแรง สามารถฟื้นตัวและหายจากโรคภัยไข้เจ็บได้รวดเร็ว สามารถมีญานวิเศษในการทำนายอนาคตล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำราวกับการแผลงศรที่แม่ยำของเทพเจ้าอพอลโล อีกทั้งยังทำให้เขาผู้นั้นมีจินตนาการที่สูง เป็นนักกวีและนักการดนตรีที่มีความคิดสร้างสรรค์ที่ดีอีกด้วย

ที่มา http://www.horamahawed.com/content.php?cate=gem&id=15
พระขรรค์ เป็นเครื่องรางที่เป็นเทพศาสตรา ใช้สำหรับปราบภูตผีปีศาจและป้องกันภัยอันตราย ลักษณะปลายมีดมีสองคม เรียวตรงกลาง จำลองมาจากพระขรรค์โบราณของพระมหากษัตริย์ ซึ่งจัดเป็น 1ใน 5 สิ่ง ของพระมหากษัตริย์ที่เรียกว่า “เบญจราชกุธภันฑ์” ได้แก่ พระขรรค์ ฉัตร มงกุฎ ฉลองพระบาท และแส้หรือวาลวิชนี ซิ่งเป็อาวุธของพระมหากษัตริย์ และเป็นเครื่องหมายให้รู้ว่าเป็นพระราชาธิบดี ได้มีการในศิลาจารึกวัดศรีชุม กล่าวว่า พระขรรค์ ซึ่งกษัตริย์ขอมได้พระราชทานให้แก่พ่อขุนผาเมือง เรียกว่า พระขรรค์ไชยศรี และชื่อนี้ได้นำมาเรียกพระแสงขรรค์องค์ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงสร้างขึ้น และก็ได้ถือเป็น“เบญจราชกุธภันฑ์” ที่สำคัญสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันสำหรับอาวุธของพระมหากษัตริย์ที่เรียกว่า “พระราชศาสตราวุธ”



พระขรรค์พุทธชัยวัฒน์ไตรจักร เป็นเครื่องมงคลที่จัดสร้างจำลองจากของจริงสามารถนำพาพกติดตัวไปไหนๆได้ โดยสืบสานชนวนมวลสารจากพระขรรค์เพชรพุทธเจ้า ทั้ง 3 รุ่น และพระขรรค์พุทธชัยวัฒน์ปราบไตรจักร ชนวนเหรียญเสริมมงคลชีวิต ชนวนพระกริ่ง และมงคลโลหะธาตุของโครงการโพธิจิตทุกรุ่น ชนวนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆทั่วประทศมากกว่าพันรายการ และนำเข้าภิธีพุทธาภิเษกในพิธีศักดิ์สิทธิ์ต่างๆนานถึง 9 ปี ด้วยพลังจิตของพระเกจิอาจารย์ที่เข้มขลัง และยังได้รับความเมตตาจาก หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ อธิษฐานจิต ยังมีพระเกจิอาจารย์ที่เข้มด้วยพุทธาคมที่วัดเกตุมวดีฯ หลวงพ่อจำเนียร วัดถ้ำเสือ ท่านก็เมตตาอธิษฐานจิตให้ เข้าพิธีทางมหายานที่วัดเล่งเน่ยยี่ และโลกานุเคราะห์ จากนั้นจึงนำมาหล่อหลอมเป็นพระขรรค์

พระขรรค์พุทธชัยวัฒน์ไตรจักร มี พระชัยวัฒน์ พระพิฆเนศ พระฤาษีโพธิสัตว์ ท้าวเวสสุวรรณมหาราชธนบดีเป็นมหามงคลอยู่ที่ด้ามพระขรรค์ ที่พระขรรค์มีอัคขระเป็นตัวนูนเมื่อหล่อสำเร็จแล้ว ได้เข้าพิธีพุทธภาภิเษก พิธีศักดิ์สิทธิ์อีก 9 พิธี โดยมีพระเกจิอาจารย์ทั่วประเทศไทยเข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษกเป็นจำนวนมาก จึงเกิดเป็นมิ่งมงคล เจริญรุ่งเรือง ชนะสิ่งเลวร้ายภูตผีปีศาจด้วยพุทธปัญญาจากองค์พระพิฆเนศ เปิดความสำเร็จด้วยพระฤาษี พระโพธิสัตว์ ครูอาจารย์ 108 ท้าวเวสสุวรรณมหาราชธนบดีพิทักษ์รักษา ประทานทรัพย์สมบัติสวัสดิรักษามหาเศรษฐี กันและแก้คุณไสยมนต์ดำ อาถรรพชั่วร้ายทั้งหลาย รวมมงคลพระขรรค์แทนปัญญา ทำสิ่งเลวร้ายกลายเป็นดี เสริมสิ่งดีๆให้ดียิ่งขึ้นไปใช้ใส่หาบบูชา หรือปักในกระถางธูป อธิษฐานเป็นมงคลประจำสถานที่นั้นๆ อัญเชิญทำน้ำมนต์แล้วจะอธิษฐาน ดีป้องกันอันตราย เมตตามหานิยม โชคลาภ รักษาโรค ฯลฯ ให้ใช้ด้วยปัญญาและจิตมั่น รวมใจเป็นหนึ่งเป็นสมาธิอธิษฐานในคุณพระซับซ้อนทวีด้วยศรัทธาความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมสำริดผล



คาถาบูชาพระขรรค์พุทธชัยวัฒน์ไตรจักร ให้บูชาว่า ก่อนอื่นให้ตั้ง นะโม 3 จบ ระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณครูบาอาจารย์ คุณมารดาบิดา

อิติสิทธิพุทธา นะโมพุทธาธะสิทธัง หรือ อิติสิทธิพุทธังสมาธิ อิติสิทธิธัมมังสมาธิ อิติสิทธิสังฆังสมาธิ อิติสิทธิสุตตังสมาธิ อิติสิทธิวินะยังสมาธิ อิติสิทธิอะภิธัมมังสมาธิ อิติทิทธินะโมทุทธายามาธิ อิติสิทธิปาระมัตตาสมาธิ อิติสิทธิมังรักขันตุสมาธิ

ที่มา http://www.horamahawed.com/content.php?cate=kong_kang&id=15

ย้อนกลับไปเมื่อ 3 - 5 ปีก่อน กระแสวงการพระได้มีการตื่นตัวครั้งใหญ่ กับกระแสของ องค์พ่อจตุคาม – รามเทพ ทำให้วงการพระเครื่องในช่วงนั้นมีการหมุนเวียนอย่างมหาศาล มีการปลุกเสกกันอย่างแพร่หลายทั่วประเทศ มีนักเล่นพระ ทั้งเก่าและหน้าใหม่ๆ เข้ามาเกร็งกำไร เผื่อไว้วันหน้าอนาคตดัง แต่กระแสกลับแผ่วลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เทขายทิ้งกันเป็นว่าเล่นเพื่อไม่ให้ขาดทุนมากนัก

ในปัจจุบันยังมีผู้นิยมเช่าบูชา องค์พ่อจตุคาม – รามเทพ อยู่จำนวนหนึ่ง แต่ไม่มากเท่าเมื่อก่อน



องค์จตุคาม – รามเทพ เป็นกษัตริย์ในสมัย อาณาจักรนครศรีธรรมราช เดิมมีพระนามว่า พระเจ้าจันทรภานุ เป็นกษัตริย์องค์ที่ 2 ของ ราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราช เมื่อสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์ อาณาจักรศรีวิชัย ได้รับการยกย่องว่า “ราชันดำแห่งทะเลใต้” เนื่องจากเป็นนักรบที่เข้มแข็งผิวเข้ม กษัตริย์ผู้ครองศิริธรรมราช ในอีกชาติภพขององค์พ่อฯ ยังเป็นนักรบที่แกร่ง รบไม่เคยแพ้ผู้ใด นามว่า พังพกาฬ ท่านได้ทรงบำเพ้ญตน สร้างบารมี เป็น พระโพธิสัตว์ เพื่อบรรทุกแก่มวลชน

กำเนิดองค์จตุคาม - รามเทพ ก่อกำเนิดครั้งแรกในปี พ.ศ.2528 ได้มีพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่ดำเนินไปตามคำบอกเล่าของเทวดารักษาเมืองนครศรีธรรมราชทุกขั้นตอน สร้างองค์จตุคาม – รามเทพ ปี 30 รุ่นแรก ในโอกาสประกอบพิธีกรรมเบิกเนตรหลักเมืองนครศรีธรรมราช ในพิธีมี พลตำรวจตรีขุนพันธรักษ์ราชเดช และ พันตำรวจเอกสรรพเพชรญ ธรรมาธิกุล และ อะผ่อง สกุลอมร (โกผ่อง) ประกอบพิธีกรรมอัญเชิญ องค์จตุคาม – รามเทพ ขออนุญาตอัญเชิญใช้ดวงตราศักดิ์สิทธิ์ของชาวทะเลใต้ ซึ่งเป็นดวงตราแผ่นดิน ประดิษฐ์เป็น ผงสุริยัน – จันทรา

การประกอบพิธีกรรมปลุกเสกมีถึง 3 วาระ 3 ภูมิ คือ พื้นดิน พื้นน้ำ พื้นอากาศ โดยมีพระเกจิอาจารย์ผู้เรืองวิทยาคมสายเขาอ้อ พุทธาภิเษกตามประเพณีชาวสิบสองนักษัตร โดยมี อาจารย์มนตรี จันทพันธ์ เป็นช่างแกะแม่พิมพ์ พระผงสุริยัน – จันทรา เป็นรูปแบบรูปวงกลมวัฎจัดรตามอุดมคติศิลปศาสตร์ศรีวิชัย ทำรูปพญาราหูอมจันทร์ล้อมทั้ง 8 ทิศ กงจักรล้อมรอบ เ2 นักษัตร ตรงกลางเป็นรูปพระโพธิสัตว์แห่งทะเลใต้ ด้านหลังจารด้วยหัวใจธร หัวใจมนุษย์ หัวใจพระคาถากำกับพระธาตุ ตามคติธรรมชาวศรีวิชัยสอดคล้องตามศาสตร์ชาวชวากะ



เมื่อประกอบพิธีกรรมพุทธาภิเษกองค์จตุคาม – รามเทพ ผงสุริยัน – จันทรา เสร็จ คณะกรรมการจึง ได้นำออกมาให้ผู้ที่สนใจเช่าไปบูชา และเป็นที่ระลึกเพื่อนำปัจจัยสร้างหลักเมืองและศาลหลักเมือง ในครั้งนั้น ได้มีผู้ที่ศรัทธานำไปบูชา ก็ได้เกิดเรื่องสิ่งที่ดีๆที่ไม่น่าเชื่อขึ้นกับตนตามแต่ว่าใครได้ประสบพบ บ้างคนก็ว่าจากที่ค้าขายไม่ดีก็กลับมาค้าขายดี ถูกรางวัลจากการเสี่ยงโชค มีโชคมีลาภ แคล้วคลาดอันตรายจากอุบัติเหตุ จากที่เจ้านายเคยไม่ชอบกลับมาชอบ ประสบการณ์เรื่องราวเหล่านี้ก็อยู่ในดุลพินิจของท่านผู้อ่านด้วยว่าจะมีมูลหรือเท็จ แต่กระแสความแรงขององค์พ่อจตุคาม - รามเทพ ปี30 นั้นจะเห็นได้ว่ามีไม่มีตกเป็นที่หมายตาของนักสะสม และนักเลงพระที่เสาะหามาไว้สักการะบูชา


คาถาบูชาองค์พ่อจตุคาม – รามเทพ

ว่านะโม 3 จบ ระลึกถึงพระแม่ธรณี

คาถาบูชาพระแม่ธรณี
“ตัสสาเกษีสะโต ยะถาคงคา โสตังปะวัตตันติ มาระเสนา ปฏิฐาตุง อาสักโกนโต ปะลายิงสุปาริมานานุภาเวนะมาระ เสนาปะราชิตาทิโส ทิสัง ปะลายันติ วิทังเสนติอะเสสะโต” 3 จบ

สุริยะปริตตะปาฐ กินนุสัน ตะระมาโน วะราหุ สุริยัน ปมุญจะสิ สังวิคคะรูโป อาคัมมะ กินนุภีโต วะติฎฐะสีติ สัตตะธาเมภาเล มุทธาชีวันโต นะสุขัง ละเภ พุทธะคาถาภิคีโตม์หิโน เจ มุญเจยยะ สุริยันติฯ

จันทะยะปะริตตะปาโฐ กินนุสัน ตะระมาโนวะ ราหุ จันทัง ปมุญจะสิ สังวิคคะรูโป อาคัมมะ กินนุภีโต วะติฎฐะสีติ สัตตะธาเม ผาะเล มุทธาชีวันโต นะสุขัง ละเภ พุทธะคาถาภิคีโตม์หิโน เจ มุญเจยยะ จันทิมันติ

ข้าพเจ้า ........ ขอน้อมถวายสักการะองค์สุริยัน – จันทรภานุ ดวงตาสองแผ่นดิน ศรีวิชัย สุวรรณภูมิ พญาศรีธรรมโศกราช สิบสองนักษัตร พญาราหู ศรีมหาราชพังพกาฬ พระเทวราชโพธิ์สัตว์จตุคาม – รามเทพ ขอเทวบารมีแห่งเทพทั้งปวงและเทวราชโพธิ์สัตว์จตุคาม – รามเทพ อภิบาลปกปักรักษาข้าพเจ้า ........ ให้อยู่ด้วยความสุขความเจริญ ก้าวหน้ามั่นคง ประสพความสำเร็จในชีวิตการงาน อุดมด้วยลาภยศสรรเสริญ มั่งมีศรีสุข มีชัยชนะเหนือหมู่มารตลอดกาลนานเทอญ

คาถาบทนี้ให้สวดเป็นประจำ และถวายหมากพลู พวงมาลัยทุกวันพฤหัสบดี

1. ธูปดำ 9 ดอก
2. เทียนไข 1 คู่
3. หมากพลู 5 คำ
4. ดอกไม้กำ 1 คู่
5. บายศรีปากชาม 1 คู่
6. บุหรี่
7. น้ำ 1 แก้ว
8. มะพร้าว 1 ลูก
9. พวงมาลัย 1 พวง

ที่มา http://www.horamahawed.com/content.php?cate=kong_kang&id=14

หยกม่วง มงคลแห่งนักปราชญ์

เราอาจจะคุ้นตาหยกในรูปแบบสีเขียว ที่มาขายกันอยู่ทั่วไป เนื่องจากชาวจีนมีความเชื่อว่าหยกสีเขียวนั้นเปรียบได้กับจักรพรรดิแห่งหยก ดังนั้นเวลาที่คนเราจะซื้อหยกมาสวมใส่ก็เลยอยากจะได้อะไรที่มันเป็นที่สุดมาครอบครอง จึงเกิดการเลือกซื้อเฉพาะแต่หยกเขียวกันเป็นลำดับแรก

แต่ความจริงแล้วหยกแบ่งได้ 2 ประเภทใหญ่ๆคือ

แบบเจไดต์ (JADEITE) ซึ่งมีโซเดียมอะลูมิเนียมซิลิเกตเป็นส่วนผสมหลัก อันจะทำให้หยกนั้นมีสีสดมากและถือว่าเป็นหยกคุณภาพดีที่สุด

หยกชนิดเนฟไฟร์ต (NEPHRITE) ที่มีแคลเซียมแมกนีเซียมซิลิเกตเป็นส่วนผสมหลัก ซึ่งหยกชนิดหลังนี้จะเป็นหยกที่มีคุณภาพต่ำกว่าหยกชนิดแรก เพราะจะมีสีที่ไม่สดใสแลดูด้านๆ จึงไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าใดนัก



หยกม่วงที่นิยมที่เป็นที่พูดถึงนี้ เป็นหยกในประเภทเจไดต์ มีสีม่วง อันถือว่าเป็นหยกยุพราช หรือหยกรัชทายาท บ้างก็เรียกกันว่าเป็นหยกแห่งนักปราชญ์ชาวจีนนั้นถือว่าสีม่วงนั้นเป็นสีแห่งพลังงานที่สมดุลของน้ำและไฟอันจะก่อให้เกิดพลังไอน้ำ ซึ่งเป็นพลังงานที่สำคัญและมีพลังอำนาจมาก ซึ่งไอน้ำนี้ต่อไปจะเกิดการกลั่นตัวจนเป็นหยดน้ำหรือน้ำฝน ที่จะนำมาซึ่งชีวิตและความอุดมสมบูรณ์ในอนาคต ชาวจีนจึงมักใช้สีม่วงเป็นสีตัวแทนแห่งราชบุตร แล้วการจัดชั้นวรรณะของหยกก็จะมีการนำเอาหยกสีม่วงมาจัดลำดับชั้นให้เป็นหยกแห่งยุพราชและเหล่านักปราชญ์อีกด้วย เนื่องเชื่อกันว่าพวกชนในวรรณะเหล่านี้เป็นบุคคลซึ่งเป็นกลไกส่วนหนึ่งของรัฐที่จะนำมาซึ่งความเจริญในอนาคตให้แก่รัฐนั้นๆ ในภายภาคหน้า



หยกม่วงนี้ถือว่าเป็นหยกที่คู่ควรแก่เหล่าบรรดานักปราชญ์ นักคิดนักคำนวณ นักบริหารรุ่นใหม่ไฟแรง อีกทั้งยังเป็นหยกแห่งความหวัง ด้วยเชื่อว่าผู้ใดที่สวมใส่หยกม่วงแล้วความหวังในชีวิตที่เขาปรารถนานั้นจะสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ทำให้เกิดภูมิปัญญาที่ชาญฉลาด สามารถฟันฝ่าปัญหาต่างๆ ได้ง่ายดายโดยปราศจากอุปสรรค

อีกทั้งยังเชื่ออีกว่าหยกม่วงนี้สามารถขจัดภูตผีปิศาจที่จะมาคอยรบกวนเราได้อีกด้วย แล้วสามารถปรับเปลี่ยนพลังที่ชั่วร้ายให้กลับมาเป็นดี มาช่วยส่งเสริมเราได้ด้วย

หลายท่านอาจได้ยินคำว่า นพเก้า กันอยู่บ่อยๆ เป็นการนำอัญมณีทั้งเก้าชนิดมารวมไว้ในตัวเรือนของเครื่องประดับเดียวกัน ซึ่งมีที่มาจากอัญมณีตัวแทนของดวงดาวที่ใช้ในโหราศาสตร์



การนำอัญมณีทั้ง 9 ชนิดที่นำมาประกอบให้เป็นนพเก้าและเป็นอัญมณีของดวงดาวจะมีด้วยกันดังนี้ ถ้าอย่างเป็นการผูกกลอนของโบราณ คือ “เพชรดี มณีแดง เขียวใสแสงมรกต เหลืองใสสดบุษราคัม แดงแก่ก่ำโกเมนเอก สีหมอกเมฆนิลกาฬ มุกดาหารสีหมอกมัว แดงสลัวเพทาย สังวาลสายไพฑูรย์”

โดย

เพชรนั้นจะแทนดาวศุกร์
มณีแดงคือทับทิมแทนพระอาทิตย์
มรกตแทนดาวพุธ
บุษราคัมแทนดาวพฤหัส
โกเมนแทนดาวราหู
นิลกาฬแทนดาวเสาร์
มุกดาหารแทนพระจันทร์
เพทายแทนดาวอังคาร
ไพฑูรย์แทนดาวเกตุ

ถ้าเป็นในตำราโหราศาสตร์ของอินเดียซึ่งเป็นแม่แบบของไทยเราก็จะมีอัญมณีแทนดวงดาวซึ่งจะแตกต่างกับของไทยเราบ้างบางชนิดดังนี้

เพชรแทนดาวศุกร์
ทับทิมแทนพระอาทิตย์
มรกตแทนดาวพุธ
บุษราคัมแทนดาวพฤหัส
โกเมนเอกแทนดาวราหู
ไพลินแทนดาวเสาร์
ไข่มุกแทนพระจันทร์
ปะการังแดงแทนดาวอังคาร
เพชรตาแมวแทนดาวเกตุ

และที่สำคัญที่จะเป็น นพเก้าได้อย่างถูกต้องและสมบูรณ์ คือตำแหน่งการจัดวาง เนื่องจากทางโหราศาสตร์ในบางดวงดาวเมื่ออยู่ใกล้กันก็อาจจะส่งผลร้ายต่อกัน ซึ่งถ้าหากเรียงไม่ถูกต้องแล้ว แทนที่จะเกิดผลดี อาจจะทำให้เกิดเคราะห์ขึ้นมาแทนก็ได้ โดยการเรียงลำดับของนพเก้าที่ถูกต้องนั้นจะต้องเรียงโดย



ทิศตะวันออกแทนด้วยอัญมณีของดาวศุกร์
ทิศตะวันออกเฉียงเหนือแทนด้วยอัญมณีของดาวพุธ
ทิศเหนือแทนด้วยอัญมณีของดาวพฤหัส
ทิศตะวันตกเฉียงเหนือแทนด้วยอัญมณีของดาวเกตุ
ทิศตะวันตกแทนด้วยอัญมณีของดาวเสาร์
ทิศตะวันตกเฉียงใต้แทนด้วยอัญมณีของดาวราหู
ทิศใต้แทนด้วยอัญมณีของดาวอังคาร
ทิศตะวันออกเฉียงใต้แทนด้วยอัญมณีของพระจันทร์

เมื่อสวมใส่อัญมณีนพเก้าที่เรียงมาถูกต้องแล้ว พลังของอัญมณีจะไม่เกิดการขัดแย้งกัน อันจะส่งผลดีให้แก่ผู้สวมใส่ สามารถคุมครองดวงชะตาของผู้สวมใส่ได้ ยามเกิดดวงตกจากดาวนพเคราะห์ดวงใดดวงหนึ่ง ดาวดวงอื่นที่เหลือก็จะส่งกระแสมาช่วยปรับสมดุลให้แก่ดวงชะตาได้

ดังนั้นเวลาเลือกซื้อก็ควรศึกษาตำแหน่งของอัญมณีให้ดีๆ
หนุมาน หน้ากระบี่ เนื้อไม้รักซ้อนแกะ หลวงพ่อสุ่น จันทโชติ วัดศาลากุล ปากเกล็ด นนทบุรี สุดยอดเครื่องรางไม้แกะ ผู้ใดบูชาจะเจริญด้วยพุทธานุภาพอำนาจบารมี เมตตามหานิยม




1 ในชุดเบญจภาคีเครื่องรางที่มีกลุ่มนักอนุรักษ์ชอบสะสมเครื่องราง และผู้ที่เสาะหามาเป็นเจ้าของ นั่นก็คือ หนุมาน หน้ากระบี่ เนื้อไม้รักแกะ ซึ่งสร้างโดย หลวงพ่อสุ่น จันทโชติ วัดศาลากุล ปากเกล็ด นนทบุรี

หลวงพ่อสุ่น นั้นไม่มีการเรียนอาคมจากพระเกจิอาจารย์ท่านใด ได้มีการสันนิษฐานว่าอาจจะร่ำเรียนมาจาก หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง และท่านเองก็เป็นสหธรรมิกของ หลวงปู่กลิ่น วัดสะพานสูง และท่านยังเป็นพระคณาจารย์ผู้ลงอักขระบนแผ่นทองแดงใช้เป็น มวลสารในการจัดสร้างเหรียญที่ระลึก วัดราชบพิธ ครั้งที่4 (พ.ศ.2481) หลวงปู่กลิ่น ท่านได้กล่าวกับหลวงพ่อสุ่นว่า “เมื่อร่ำเรียนวิชามาแล้ว ก็ต้องทำของแจกชาวบ้านบ้าง”


หนุมาน หน้ากระบี่ ที่ หลวงพ่อสุ่น ได้สร้างขึ้นมานั้น ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นไม้พุดซ้อน และรักซ้อน ที่ปลูกไว้หน้ากุฏิของท่าน เมื่อท่านไปบิณฑบาตมาแล้วฉันภัตหารเสร็จ หลวงพ่อท่านจะนำบาตรมาล้างแล้วนำน้ำที่ล้างบาตรรดที่ต้นไม้พุดซ้อน และต้นไม้รักซ้อน ทำเช่นนั้นอยู่นานหลายปี จนเจ้าต้นไม้ทั้ง 2 ต้น เกิดตายพราย ท่านจึงได้สั่งให้ลูกศิษย์ขุดขึ้นมาเอาต้นและราก มาผึ่งแดดให้แห้ง สับเป็นท่อนๆ ได้ว่าจ้างช่างให้แกะ

หนุมาน ในยุคแรกของหลวงพ่อนั้นสร้างจากไม้ต้นรักซ้อนและต้นรักซ้อน เมื่อแกะเสร็จแล้วเป็นตัวหนุมาน นำมาใส่ในบาตรแล้วนำไปปลุกเสกทุกคืน โดยท่านจะปลุกเสกด้วย อุคหนิมิต คือ การนิมิตที่จำติดตาลืมตาก็เห็น เสกจนหนุมานกระโดดออกจากบาตรได้ขึ้นมาดับเทียนชัยที่จุดเอาไว้ที่ขอบปากบาตร เพราะหนุมานนั้นได้ถูกกำกับด้วย หัวใจหนุมาน ไว้ทุกตัว

เมื่อปลุกเสก หนุมาน สำเร็จ หลวงพ่อสุ่น ท่านก็จะเก็บไว้แจกให้กับคนทั่วไปโดยไม่เลือกที่รักที่ชัง และไม่ได้ตั้งราคาว่าจะเท่าไร ทุกคนที่ได้ หนุมาน ของท่านกลับไปบูชาพูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นเครื่องรางที่ดีในด้านเมตตาค้าขายและแคล้วคลาด เครื่องราง หนุมาน ไม้แกะนี้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นช่างชาวบ้าน เรื่องของศิลปะนั้นจะเรียบง่ายไม่ซับซ้อน สังเกตดูว่าเค้าหน้าแบบปากจะแหลม นั่งยองๆ จับเข่า อ้าปาก เห็นลิ้นกับฟันไม่มีลวดลายและเครื่องทรง

แต่ถ้าหากเป็นหน้าโขนก็จะมีลวดลายที่งดงามอ่อนช้อย ไม้ที่ท่านแกะมาผ่านกาลเวลามาจนถึงปัจจุบันจะมีความแห้งของไม้ ไม้ภายนอกจะมีความแตกของไม้ที่แห้งตามธรรมชาติ นอกจากนี้ก็ยังมีงานแกะด้วยงาช้าง ในปัจจุบันนี้ ได้มีงานเลียนแบบเครื่องราง หนุมาน ของหลวงพ่อสุ่น แต่จะเห็นได้ว่า เป็นการเลียนแบบ เพราะความเก่าของไม้ไม่ได้เนื่องจากมีความแห้งไม่พอ ควรจะพิจารณาให้ดีในหามาบูชาหรือสะสม การสร้างเครื่องราง หนุมาน นั้นท่านก็จะสร้างน้อย เนื่องจากไม้รักซ้อนและไม้พุทซ้อนตายพรายหายาก

พระคาถากำกับหนุมานให้ว่าดังนี้ ตั้งนะโม 3 จบ

“นะมัง เพลิง โมมังปากกระบอก ยะมิให้ออก อุดธัง โธอุด ธังอัด อะสังวิสุโรปุสะพูพะ มะอะอุ โอมยะพุทธา ทะโยสตรี สตรี นิสังโห”

สุดยอดเครื่องรางของขลัง เขี้ยวเสือแกะหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย (วัดมงคลโคธาวาส) สมุทรปราการ ผู้ใดมีเก็บไว้บูชานำไปค้าขายเจริญรุ่งเรืองร่ำรวย ผู้ใดมีเก็บไว้บูชานำติดตัวแคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันอันตรายต่างๆ



หลวงพ่อปานได้เรียนพิธีปลุกเสกเสือจากอาจารย์ท่านหนึ่งที่มีชื่อเสียงในด้านการปลุกเสกเสือ ในครั้งที่ยังออกธุดงค์ หลังจากที่หลวงพ่อปานได้ศึกษาวิทยาคม ในการสร้างเสือ ท่านก็ได้สร้างแจกให้แก่ลูกศิษย์ในบริเวณแถบวัดบางเหี้ย จากที่มีช่างแกะเพียงคนเดียว พอนานเข้ามีคนเข้ามาเอาเสือไปบูชาจนสร้างไม่ทัน จึงมีช่างแกะเพิ่มขึ้น ในสมัยนั้นเป็นที่โจษว่า “เสือหลวงพ่อปาน” มีความเข้มขลังจริงๆ เนื่องจากเสือของท่านมีประสบการณ์มากมาย พ่อค้าแม่ขายนำติดตัวไปค้าขายเกิดเป็นผลในทางด้านเมตตาหมาเสน่ห์ค้าขายดี




การที่หลวงพ่อปานได้สร้างเครื่องรางเป็นเสือนั้น ได้กล่าว เสือเป็นสัตว์ที่มีความปราดเปรียวว่องไว ฉลาด เฉียบขาด มีตบะ และอำนาจ สามารถใช้สายตาสะกดสัตว์ให้อยู่ในอำนาจ คือนำเอาลักษณะของเสือมาเป็นอุปเท่ห์ หลวงพ่อปานท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีความเมตตา ปราณี และมีวาจาสิทธิ์ จึงเป็นที่ยำเกรงของลูกศิษย์ เนื่องจากกลัวคำวาจาสิทธิ์ กอปรกับท่านมีเจโตปริยญาณ และอนาคตังสญาณ



การสร้างเครื่องราง ด้วยเขี้ยวเสือของหลวงพ่อปานนั้นรูปแบบจะมีความแตกต่างกันออกไปเนื่องจากลูกศิษย์ที่แกะนำมาถวายนั้นมีหลายคนจึงศิลปะที่มีความงดงามแตกต่างกัน เล็กบ้างใหญ่บ้าง มักจะแกะจากเขี้ยวเสือซึ่งมีแกะจากปลายเขี้ยว โคนเขี้ยว แบบเต็มเขี้ยว จากนั้นจารอักขระลงที่เนื้อเขี้ยว และปลุกเสกเดี่ยวเป็นอันวาเร็จพิธีสามารถนำไปบูชาได้

ที่มา http://www.horamahawed.com/content.php?cate=kong_kang&id=12

อเมทริน เสริมแรงบันดาลใจ สติปัญญา



อเมทริน เป็นพลอยชนิดหนึ่งที่มีสีม่วงปนเหลือง เป็นอัญมณีที่รวมคุณสมบัติพิเศษของแอเมทิสต์ซึ่งเป็นอัญมณีสีม่วงอันเป็นพลังในด้านดีของดาวเสาร์ และสีเหลืองทองของซิทรินอันเป็นพลังของดาวพฤหัสบดี เป็นการผสมกันอย่างลงตัว มีความสวยงามมากด้วยการตัดกันของสีม่วงกับสีเหลืองทอง อันทำให้เกิดเสน่ห์แก่พลอยชนิดนี้เป็นอย่างมาก

ตามตำราโหราศาสตร์แล้วเมื่อดาวพฤหัสบดีมาร่วมกับดาวเสาร์ นั่นย่อมหมายถึง ปรัชญาในการดำรงชีวิต, ทรรศนะความเชื่อของตนเอง, การมีความคิดที่แปลกใหม่, การปฏิวัติทางระบบความคิด, การเปลี่ยนแปลงไปสู่การเติบโตอีกขั้น, การรู้จักแยกแยะเหตุขัดแย้ง เป็นต้น ทำให้อเมทรินนั้นมีพลังที่ช่วยเสริมให้ผู้สวมใส่ครอบครองเกิดแรงบันดาลใจเกิดกลยุทธ์ที่จะต่อสู้ในชีวิต ทำให้มีสติปัญญาแยกแยะปรับแก้ปัญหาในสถานการณ์ที่โกลาหลได้ดี ทำให้เกิดความสุขุมรอบคอบในการทำงาน ทำให้งานหรือหน้าที่ที่กระทำเจริญรุ่งเรืองอย่างค่อยเป็นค่อยไปและมั่นคงแข็งแกร่ง ทำให้เข้าใจในสัจธรรมได้ดี เกิดความคิดที่แหวกแนวแต่เป็นที่ยอมรับในวงสังคม



นอกจากนี้ทางยุโรปยังเชื่อกันมาอเมทรินนั้นมีพลังในด้านการรักษาสูง เหมาะกับผู้ป่วยที่อยู่ในระยะพักฟื้น หรือผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุ

ที่มา http://www.horamahawed.com/content.php?cate=gem&id=12
ไพฑูรย์เป็นชื่อของอัญมณีขนิดหนึ่ง หรือบางคนเรียกว่า เพชรตาแมว เป็นอัญมณีของพระเกตุ ซึ่งเป็นดาวสมมติในทางโหราศาสตร์ พระเกตุนี้จะช่วยเสริมพลังให้ดาวอื่นๆที่อยู่ใกล้ๆ ถ้าเป็นดาวดี ก็จะเสริมให้ดีขึ้น ถ้าเป็นดาวร้ายก็จะเสริมให้ร้ายขึ้น ดังนั้นการเลือกนำไพฑูรย์มาใส่ ควรจะคำนึงถึงอัญมณีอื่นๆที่ใส่ร่วมด้วยเป็นอย่างยิ่ง



ไพฑูรย์นั้นมีหลายสี แต่สีที่เป็นตัวแทนของพระเกตุนั้นตามตำราโหราศาสตร์ทั้งไทยและอินเดีย กล่าวว่าจะต้องเป็นสีออกเหลืองหรือขาวนวลอมเหลือ และที่สำคัญต้องมีสตาร์หรือตาแมวบนเนื้อพลอย เท่านั้น

ในตำราโหราศาสตร์ของไทยเชื่อกันอีกว่าแก้วไพฑูรย์นั้นเป็นอัญมณีสำหรับผู้ที่ถือกำเนิดในเดือนสิบสองไทย (เดือนพฤศจิกายน) และในตำราโหราศาสตร์ของชาติตะวันตกก็ถือว่าแก้วไพฑูรย์นั้นเป็นอัญมณีที่จะนำมาซึ่งชื่อเสียงเกียรติยศให้แก่ชาวราศีสิงห์ (ท่านที่มีพระอาทิตย์ หรือลัคนาสถิตอยู่ในราศีสิงห์)

ตามความเชื่อแล้วเชือกันว่าแก้วไพฑูรย์นั้นเปรียบเสมือนดวงตาที่สาม สามารถทำให้ผู้สวมใส่มองเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ชัดเจนขึ้น มีพลังในการขับไล่ภูตผีปิศาจ ช่วยเสริมบารมี ชื่อเสียง ความสำเร็จในชีวิตให้แก่ผู้สวมใส่ถือว่าเป็นอัญมณีแห่งเทพเจ้า หรือวิญญาณชั้นสูง อันจะช่วยเสริม ช่วยปกป้องคุ้มครองผู้สวมใส่ให้แคล้วคาดปลอดภัยจากภยันตรายทั้งหลายได้



การเลือกใส่แก้วไพฑูรย์ห้ามนำมาสวมใส่ร่วมกับแก้วโกเมน ซึ่งเป็นอัญมณีของพระราหู เพราะจะสื่อถึงการเกิดคราสซึ่งไม่ดี ถ้าจะใส่ร่วมต้องมีอัญมณีชนิดใดชนิดหนึ่งที่ให้คุณมาคั่นกลาง แต่ห้ามเป็นทับทิมซึ่งเป็นอัญมณีของพระอาทิตย์กับไข่มุกซึ่งเป็นอัญมณีของพระจันทร์ หรือถ้าเป็นแหวนก็ควรใส่ไว้คนละข้างจึงจะควรแต่ทางที่ดีไม่ควรใส่ร่วมกันจะดีกว่าแต่ถ้าพระราหูให้คุณแก่ดวงชะตา เราก็ต้องควรงดใส่ไพฑูรย์เช่นกัน

ภาพและข้อมูลจาก : http://www.horamahawed.com/content.php?cate=gem&id=11
บูชาพระเนื้อดิน หลวงพ่อปาน โสนันโท วัดบางนมโค
พุทธคุณ เมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัย สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บ
ตลอดจนความเป็นศิริมงคล สมปรารถนาแก่ผู้อธิษฐานติดตัว

พูดถึงวงการพระโดยเฉพาะพระเนื้อดินแล้ว อันดับแรกที่นึดถึงเลยคือ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค หรือ พระครูวิหารกิจจานุการ หรือ หลวงพ่อปาน โสนันโท อดีตเจ้าอาวาสวัดบางนมโค เกจิอาจารย์ผู้เรื่องนามแห่ง อ.เสนา กรุงศรีอยุธยา

หลวงพ่อปาน โสนันโท วัดบางนมโค เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีพุทธคุณเข้มขลังมีสาธุชนให้ความเคารพเลื่อมใส และท่านยังได้สร้างวัตถุมงคล เป็นพระพิมเนื้อดินจนโด่งดัง ด้วยความปฏิหาริย์สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้หาย แคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันอันตรายทั้งปวง ด้วยผงพุทธคุณตามตำราว่าด้วย “ยันต์เกราะเพชรพระพุทธเจ้า” อุดปิดไว้ และล้อมด้วยอักระเลขยันต์ ที่เป็นศิริมงคล

พระพิมพ์เนื้อดิน ที่ท่านได้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2460 นั้นมีลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยม มุมตัด รูปองค์พระเป็น สมองค์พระปฏิมาทรงประทับนั่งปางสมาธิและปางมารวิชัยบนบัลลังก์บัวตูม เหนือสรรพสัตว์ประเภทต่างเป็นพาหนะ ล้วนแต่มีอุปเทห์ในการบูชา เนื่องจากพุทธคุณมีความเชื่อที่สืบทอดกันมา และแต่ละคติมีความเชื่อไม่เหมือนกัน


พิมพ์ทรงไก่ มีดีทางด้านการทำมาค้าขาย และเมตตามหานิยม


พิมพ์ทรงครุฑ มีดีด้านอำนาจ เหมาะสำหรับข้าราชการ และนักบริหาร




พิมพ์ทรงหนุมาน ดีทางด้านการปกครอง แคล้วคลาด คงกระพัน เหมาะสำหรับข้าราชการ




พิมพ์ทรงเม่น ดีทางเกษตรกรรม ทำนา ทำสวน ทำไร่ หรือนักค้าที่ดิน




พิมพ์ทรงปลา ค้าขาย




พิมพ์ทรงนก เสริมความสำเร็จแก่ผู้ที่มีอาชีพการสื่อสาร นักพูด นักแสดง พ่อค้าที่ต้องเจราในการค้าขาย

เป็นพระเครื่องที่มีเอกลักษณ์ที่ไม่มีใครเหมือน การแกะแม่พิมพ์เป็นศิษย์และชาวบ้านที่มีฝีในการช่าง พระเครื่องของหลวงพ่อปาน จึงมีหลายพิมพ์และหลายฝีมือ ดินที่ใช้เป็นเนื้อดินในก้นคลองหน้าวัดนำมามากรองเอาส่วนที่หยาบออก เหลือดินละเอียดมาโขลกตำเข้าด้วยกัน แล้วกดแม่พิมพ์ และใช้ไม้ไผ่เสียบปลายเสีบยทางด้านบน เพื่องัดออกจากแม่พิมพ์ นำพระไปผึ่งให้แห้ง นำไปสุมไฟแกลบรวม 7 วัน 7 คืน แล้วจึงนำออกจากบาตร บรรจุผงพุทธคุณ ให้พระในวัดช่วยกันบรรจุผงพุทธคุณที่หลวงพ่อท่านทำรูไว้ในรูที่ถูกไม้ไผ่เจาะทุกองค์ สุดท้ายท่านจะทำพิธีปลุกเสกเดี่ยวจึงเป็นอันเสร็จพิธี ปัจจุบันนี้ พระเครื่องของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค เป็นที่นิยมของนักสะสมเป็นอย่างมากและหายากเป็นที่สุด


พระเครื่องพิมพ์สรรพสัตว์ต่างๆ ผู้ใดมีไว้บูชาติดตัว เพื่อพึ่งพุทธคุณจากพระเครื่องของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค แล้วไม่มีผิดหวังเพราะท่านได้สร้างเอาไว้ครอบคลุมจักวาลไม่ว่าเรื่องเมตตามหานิยม คลาดแล้วปลอดภัย สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ตลอดทั้งความเป็นศิริมงคล ผู้ที่บูชาติดไว้กับตัวยังช่วยให้สมปรารถนาในเรื่องต่างๆ

ภาพและข้อมูลจาก : http://www.horamahawed.com/content.php?cate=kong_kang&id=11
สำหรับหลวงปู่ทวด ในวงการพระคงไม่มีใครไม่รู้จัก เมื่อเอ่ยชื่อ หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด ทุกคนยอมรับว่าเป็นพระคณาจารย์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตาช่วยเหลือปลดทุกข์ให้แกคนและสัตว์ตั้งแต่ครั้งที่ท่านยังชีวิตอยู่จนกระทั่งท่านมรณภาพไปแล้วเป็นเวลาหลายร้อยปี

ได้มีการสร้างรูปเหมือนท่าน สร้างเป็นวัตถุมงคล ชื่อและคุณงามความดีที่หลวงปู่ทวดท่านได้กระทำไว้ยังอยู่ในใจและเป็นที่สักการะของเหล่าศาสนิกชนชาวพุทธอย่างไม่มีวันเสื่อม ปัจจุบันนี้ได้มีการสร้างรูปเหมือนท่านไว้ให้ชนรุ่นหลังได้กราบสักการะบูชา



วัตถุมงคล หลวงปู่ทวด รุ่น “สุวรรณมงคล” สร้างโดย พ่อท่านทอง วัดสำเภาเชย เพื่อนำไปเป็นทุนการศึกษาแก่บุตรข้าราชการจังหวัดทหารบกปัตตานีและครอบครัว และนำไปวัตถุมงคลไปแจกจ่ายให้แก่ทหาร ตำรวจ ขาราชการเพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจ วัตถุมงคลที่สร้างนี้ท่านได้อนุญาตให้จัดสร้างเนื่องจากเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อส่วนรวม วัตถุมงคลรุ่นนี้ได้เข้าพิธีพุทธาภิเษกเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ.2548 ณ อุโบสถวัดสำเภาเชย การสร้างครั้งนี้ท่านไม่อนุญาตให้นำวัตถุมงคลรุ่นอื่นเข้ามาร่วมพิธีเพื่อมิให้ผู้ใดแอบอ้าง



ประสบการณ์ของเหรียญรุ่นนี้มีมากมายขอยกตัวอย่างและภาพเหตุการณ์ พ่อท่านทองได้แจกให้แก่ผู้ที่ปฏิบัติงานใน3ชายแดนจังหวัดภาคใต้ติดตัวเพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตน ได้ออกลาดตะเวนและออกคุ้มครองครูได้เกิดถูกโจมตีจนเป็นเหตุให้รถเสียหายแต่ทหารที่ได้รับเหรียญไม่ได้รับอันตรายเพราะเป็นบารมีของหลวงปู่ทวดและพ่อท่านทอง เจ้าอาวาสวัดสำเภาเชย

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.horamahawed.com/content.php?cate=kong_kang&id=10

ภาพและข้อมูลทั้งหมดจาก http://www.horamahawed.com

เฮลิโอดอร์ อัญมณีแห่งปัญญาและความสดใสร่าเริง

เฮลิโอดอร์เป็นคริสตัลในตระกูลเบริล (BERYL) ซึ่งมีส่วนผสมของเบริลเลียม อะลูมิเนียม ไซโคซิลิเกต เป็นตระกุลเดียวกันกับมรกตและอะความารีน แต่เฮลิโอดอร์จะมีธาตุเหล็ก Fe3+ ปนอยู่ด้วย จึงทำให้มีสีเหลืองทอง จนได้อีกชื่อว่า โกลเด้นเบริล




ตำนานกรีกเล่าว่า เฮลิโอดอร์นั้นเป็นของขวัญที่สุริยเทพประทานลงมาให้มนุษย์ และคำว่าเฮลิโอดอร์ก็มาจากภาษากรีกแปลว่าแสงสีทองของพระอาทิตย์

เฮลิโอดอร์ได้รับการยอมรับทั้งทางซีกโลกตะวันตกและซีกโลกตะวันออกเหมือนๆ กันข้อหนึ่งก็คือในเรื่องของสติปัญญา โดยเชื่อว่าเฮลิโอดอร์นั้นจะช่วยทำให้เกิดสติปัญญาที่ชาญฉลาด ทำให้เป็นคนมีศีลธรรมเป็นที่ยอมรับของมหาชน เหมาะสำหรับผู้ที่ประกอบอาชีพเกี่ยวกับวิชาการ นักเขียน นักศาสนา เป็นอย่างมาก




หลายท่านอาจจะเคยได้ยินเกี่ยวกับหินศัพดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดูหรือที่เรียกกันว่า ศิลาแห่งพระวิษณุ กันมาบ้าง หินชนิดนี้เกิดจากฟอสซิลของสัตว์ดึกดำบรรพ์กึ่งหอยกึ่งปลาหมึกชนิดหนึ่งในกลุ่มตระกูลแอมโมไนต์ ที่ชื่อว่า แอมโมนอยด์ ซึ่งสูญพันธุ์ไปเมื่อ 65 ล้านปีก่อน



ชาวฮินดูเชื่อว่า ศาลีคราม เป็นมูรติหนึ่งของพระวิษณุ ในตำนานกล่าวว่า พระลักษมีนั้นแบ่งภาคลงมาเป็นต้นกะเพราหรือเทวีตุลสี ขึ้นอยู่ที่ริมแม่น้ำคัณฑกี แล้วพระวิษณุจึงแบ่งภาคตามลงมาในรูปศาลีคราม

ศาลีครามถือเป็นศิลาศักดิ์สิทธิ์เพราะมีลายคล้ายกับจักรสุทรรศน์อันเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของพระวิษณุคู่กับสังข์ ดังนั้นชาวอินเดียจึงมักนำของสามสิ่งอันได้แก่ ศาลีคราม สังข์และกะเพรามาบูชาร่วมกันเรียกว่า “ศิลามูรติ



เชื่อว่าผู้ใดที่ได้ครอบครองทั้ง 3 สิ่งนี้ร่วมกันแล้วจะได้รับความคุ้มครองและการอวยพรจากพระวิษณุและพระลักษมี ให้ปราศจากเรื่องเลวร้ายทั้งปวง อีกทั้งจะนำมาซึ่งความร่ำรวยและโชคที่ดีต่างๆ นานา

โดยเฉพาะในทางโหราศาสตร์เองก็เชื่อว่าศาลีครามนั้นเป็นศิลาวิเศษสามารถป้องกันภัยจากการส่งกระแสร้ายของดาวเสาร์ได้ดีอีกด้วย

การบูชาหรือสวมใส่ศาลีครามไว้กับตัวนั้นจะช่วยให้ท่าน ปลอดภัยจากภัยร้ายต่างๆ, ป้องกันผลร้ายของดาวเสาร์เมื่อดาวเสาร์โคจรมาทับหรือเล็งลัคนา หรือเมื่อดาวเสาร์โคจรมาทับพระจันทร์ในดวงชะตากำเนิด, จะช่วยให้กิจการประสบความสำเร็จได้โดยง่าย, ทำให้ร่ำรวยในทรัพย์สิน และเป็นที่โปรดปราณของพระวิษณุและพระลักษมีเทวี

ภาพและข้อมูล : http://www.horamahawed.com/content.php?cate=gem&id=9
พระบูชา 5 นิ้ว รูปหล่อเหมือนหลวงพ่อโสธร ปี 2497 พระบรมครูของเทวดาและมนุษย์ไม่มีผู้ใดยิ่งไปกว่าท่าน มีอานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดมีไว้บูชาจะเกิดความเป็นศิริมงคลแก่ตน และครอบครัว



โดยปกติแล้ว พวกเราชาวพุทธส่วนใหญ่มักจะมีพระพุทธรูประจำบ้าน ซึ่งอาจจะเป็นพระพุทธรูปตัวแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือรูปหล่อเหมือนหลวงพ่อต่างๆ ตามที่เราศรัทธา และหลวงพ่อที่เรามักจะคุ้นหูกันมาก คงจะหนีไม่พ้น หลวงพ่อโสธร

เดิม หลวงพ่อโสธร เป็นพระพุทธรูปที่ลอยน้ำมาพร้อมกับพระพุทธรูปอีกสององค์ ได้แก่ หลวงพ่อวัดบ้านแหลม และหลวงพ่อโต วัดบางพลีใหญ่ รวมเป็น 3 องค์ ลอยมาจากแม่น้ำทางเหนือ ทั้ง 3 องค์ได้ลอยน้ำทวนมาผุดขึ้นที่ท่าน้ำบางประกง ชาวบ้านได้เห็นจึงได้ช่วยกันเอาเชือกไปคล้ององค์แล้วช่วยกันดึงเข้าฝั่งเชือกขาด พระพุทธรูปจมน้ำ หลังจากที่พระพุทธรูปจมน้ำไปแล้วก็ได้ไปผุดขึ้นในที่ต่างๆ แต่ละแห่งชาวบ้านช่วยกันแต่ไม่เกิดความสำเร็จ บริเวณต่างที่ได้พบพระจึงได้ชื่อต่างๆกันไป

หลวงพ่อโสธร ได้ลอยไปตามแม่น้ำบางประกงไปจนถึงวัดหงษ์ หรือวัดโสธรในปัจจุบัน ชาวบ้านได้อาราธนาขึ้นไปประดิษฐานในอุโบสถวัดหงษ์ แต่เดิมนั้นที่หน้าวัดมีเสาใหญ่มีรูปหงส์อยู่บนยอดเสา จึงได้ชื่อว่าวัดหงษ์ ต่อมาหงส์ที่อยู่บนยอดเสาได้เกิดชำรุดตามกาลเวลาหักลง ทางวัดจึงได้นำธงรูปหงส์ไปติดไว้ที่ยอดเสาแทนหงส์ที่ชำรุด จึงได้ชื่อว่าวัดเสาธง ต่อมาได้เกิดพายุพัดเสาหักลงมาจึงได้ชื่อวัดเสาทอน และได้เปลี่ยนมาเป็นวัดโสธรวรารามราชวรวิหาร มาจนถึงปัจจุบันนี้

การจัดสร้างวัตถุมงคล พระพุทธโสธร ปี2497 เนื่องจากคณะกรรมการได้จัดสร้างเพื่อนำเงินสมทบทุสร้างอุโบสถและปรับปรุงเสนาสนะวัดโสธร ในการจัดสร้างวัตถุมงครั้งนั้นมีขึ้นด้วกันหลายรูปแบบ หนึ่งในนั้นคือ พระบูชาขนาดหน้าตัก 5 นิ้ว รูปหลวงพ่อโสธร ทางคณะกรรมการจึงได้จัดพิธีพุทธาภิเษกขึ้นในวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2497 ณ พระอุโบสถวัดโสธร ได้นิมนต์พระเกจิอาจารย์ที่มีวิชาอาคมที่เข้มขลัง ได้แก่ หลวงพ่อแฉ่ง วัดบางพัง นนทบุรี เจ้าคุณโมลี วัดระฆัง หลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ อยุธยา หลวงพ่อแต้ม วัดพระลอย สุพรรณบุรี หลวงพ่อหลาย วัดราษฏร์บำรุง ชลบุรี หลวงพ่อคลื้น วัดสังโฆ สุพรรณบุรี หลวงพ่อเคน วัดเขาอีโต้ ปราจีนบุรี หลวงพ่ออิ่ม วัดไผ่ล้อม ปราจีนบุรี หลวงพ่อฮวด วัดบางกระบือ สมุทรสาคร หลวงพ่อสำเนียง วัดเวฬุวนาราม นครปฐม หลวงพ่อหอม วัดชากหมากเรไร ระยอง พระครูสังฆรักษ์ วัดสัมพันธวงศ์ พระอาจารย์อั้น วัดพระญาติการาม อยุธยา เกจิที่นิมนต์มาในครั้งนี้ล้วนแต่มีอภิญญาแก่กล้าทั้งสิ้น

ขณะที่พระเกจิอาจารย์ขณะนั่งปรกได้เกิดนิมิตขึ้นเป็นอย่างน่าอัศจรรย์แสงสว่างได้พวยพุ่งออกมาจากองค์หลวงพ่อโสธร หมุนรอบๆพระเครื่องที่นำมาเข้าพิธีเป็นสายรุ้ง แล้วกระจายออกไปทั้งแปดทิศ และเป็นสีขาวเข้าสู่พระเครื่องที่นำมาเข้าพิธี คณะกำการและผู้ที่มาร่วมในพิธีพุทธาภิเษกต่างเห็นเหมือนกันและเกิดอาการตลึงในสิ่งอัศจรรย์จนเป็นที่กล่าวขานจากปากต่อปากว่า พระเครื่องพระพุทธโสธรปี 2497 มีความเข้มขลังและศักดิ์สิทธิ์ไม่แพ้กับหลวงพ่อโสธรที่ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถวัดโสธร อานุภาพความศักดิศิทธิ์ มีมากมายป้องกันสรรพอันตราย ความเดือดร้อนลำเค็ญให้ได้อยู่เย็นเป็นสุข เป็นแพทย์วิเศษพยาบาลผู้อาพาธให้หายขาดไม่กลับคืนมา



คำอาราธนาหลวงพ่อโสธร

ตั้งนะโม 3 จบ กายานะ วาจายะ วาโสธะรัง นามะ อิติปาริหะ ริยะกาง พุทธธะรูปัง อะหังปิ วัณทามิ สัพพะโส

ภาพและข้อมูลจาก http://www.horamahawed.com/content.php?cate=kong_kang&id=9
ข้าวตอกพระร่วง ข้าวสารพระร่วง ของศักดิ์สิทธิ์ด้วยแรงอธิษฐานจากปากพระร่วงเจ้า ท่านใดมีไว้จะเจริญด้วยโภคทรัพย์ทั้งปวง มีกินมีใช้ไม่อด ติดตัวไปซี้อง่ายขายคล่อง บูชาไว้ที่บ้านเป็นศิริมงคลแก่ตนและครอบครัว


ข้าวตอกพระร่วง และ ข้าวสารพระร่วงเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ มีลักษณะเป็นก้อนสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ฝังอยู่หิน หรือมีลักษณะเป็นเม็ดข้าวสารอัดกันเรียงตัวอยู่ในหินมักจะพบบริเวณเขาพระบาทใหญ่ ต.เมืองเก่า อ.เมือง จ.สุโขทัย ด้านธรณีวิทยา เชื่อว่าเป็นแร่ธาตุชนิดโลหะมีชื่อว่า “แร่ไพไรต์” ข้าวตอกพระร่วงที่ขุดค้นพบชาวจังหวัดสุโขทัยมีความเชื่อว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ หากใครมีไว้ติดตัวก็จะเป็นศิริมงคลกากินคล่องเจริญรุ่งเรืองต่อตนและครอบครัว

แหล่งกำเนิดข้าวตอกพระร่วง และข้าวสารพระร่วง ขุดพบในบริเวณเขาพระบาทใหญ่ ต.เมืองเก่า อ.เมือง จ.สุโขทัย และเป็นแห่งเดียวในประเทศไทยที่ขุดพบข้าวตอกพระร่วง ลักษณะข้าวตอกพระร่วงนี้มีความแข็งคล้ายหิน มีรูปทรงเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัส และผืนผ้าเป็นทรงเลขาคณิตเกิดขึ้นเองโดยตามธรรมชาติ มีสีดำ สีดำปนน้ำตาล สีดำปนเงิน สีดำปนทอง เมื่อนำมาเจียรนัยเป็นเครื่องประดับจะมีเงามันสวยงาม

ข้าวตอกพระร่วง หรือ ข้าวสารพระร่วง ชาวสุโขทัยเชื่อว่าเป็นสิ่งของที่มีความศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเชื่อกันว่าเกิดจากแรงอธิษฐานของพระร่วงเจ้า ที่เกิดขึ้นในสมัย พระร่วงแห่งเมืองสุโขทัย คือพระร่วงเป็นกษัตริย์ที่มีวาจาอันศักดิ์สิทธิ์ เมื่อท่านนั้นได้เปล่งวาจาสิ่งใดออกไปก็จะเป็นไปตามนั้น ครั้งหนึ่งได้มีขอมมาตามหาพระร่วง ขณะนั้นพระร่วงได้ทำการกวาดใบไม้แห้งอยู่ที่ลานวัดพอดีขอมได้โผล่ขึ้นมาแล้วถามถึงพระร่วง ขอมผู้นั้นไม่ทราบว่ากำลังพูดอยู่กับพระร่วง พระร่วงจึงได้เอยวาจาว่า “เจ้าจงอยู่ที่นี่เถอะ” จากนั้นขอมผู้นั้นกลายเป็นหินอยู่ตรงนั้น นี่เป็นคำวาจาศักดิ์สิทธิ์ของพระร่วงที่เชื่อกันมาจนถึงปัจจุบัน

ข้าวตอกพระร่วง และข้าวสารพระร่วง มักจะนำมาเจียรนัยมาทำเป็นเครื่องประดับ เป็นที่นิยมและเชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ด้วยแรงอธิษฐานของพระร่วงเจ้า ท่านที่มีไว้บูชาจะเกิดเป็นศิริมงคลแก่ตัวท่านและครอบครัว จะเจริญด้วยโภคทีรัพย์ทุกๆประการ นำติดตัวไปค้าขายก็ซื้อง่ายขายคล่อง บูชาไว้ที่บ้านเป็นศิริมงคลแก่ตัวและครอบครัว จะทำให้มีกินมีใช้ไม่อดอยากเหมือนกับเมล็ดข้าวที่งอกออกรวงเต็มท้องทุ่งนา หรือมีข้าวสะสมไว้ในยุ้งฉาง


Sankha เปลือกหอยสังข์

หอยสังข์ ถือว่าเป็นสิ่งมงคลทั้งในศาสนาพุทธและทางฮินดู ด้วยเชื่อว่าเปลือกหอยสังข์เป็นของวิเศษ นำมาซึ่งความเป็นสิริมงคลมากมาย สามารถป้องกันภูติผีปิศาจ ป้องกันอัคคีภัย และสิ่งอัปมงคลต่างๆ ได้



ในศาสนาฮินดู ถือว่าเปลือกหอยสังข์นั้นเป็นสิ่งมงคล เพราะสังข์นั้นได้กลืนเอาคัมภีร์พระเวทลงไปในท้อง อีกทั้งตรงปากสังข์ยังมีรอยพระหัตถ์ของพระวิษณุประทับอยู่ตรงนั้นอีกด้วย อันถือว่าเป็นสิริมงคลอย่างยิ่ง

เมื่อใครจะทำการมงคลใดก็ให้นำน้ำใส่ลงไปในสังข์แล้วเทออกมารดถือว่าเป็นมงคลยิ่ง อีกทั้งถ้านำสังข์มาเป่าให้เป็นเสียงดัง เสียงของสังข์นั้นก็จะดังคล้ายเสียง “โอม” ซึ่งเป็นพยางค์ศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดู เสียงของสังข์นั้นจะก่อให้เกิดมงคลมากมาย อีกทั้งยังขับไล่ภูตผีปิศาจให้จากไปจากครอบครัวเราได้ด้วย

ชาวพุทธมหายานก็เชื่อกันว่าสังข์นั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 1 ใน 8 เครื่องมงคลอันเป็นเครื่องแทนพระวรกายของพระพุทธเจ้า โดยกล่าวว่าสังข์นั้นเป็นเครื่องแทนพระเกศาของพระพุทธองค์ และยังเป็นเครื่องแทนพระสุรเสียงแห่งพระธรรมที่พระศาสดาได้ประกาศไว้ให้กึกก้องไปทั่วทุกสารทิศ

ดังนั้นจึงถือได้ว่าสังข์นั้นเป็นสิ่งที่เป็นมงคล ที่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องประดับร่างกายให้ความคุ้มครองดวงชะตา โดยการนำเปลือกของหอยสังข์มาตัดจุกที่อยู่ด้านบนสุดบ้าง (ส่วนที่เหลือจะเป็นสังข์ที่นำมาใช้เป่า) หรือ นำเปลือกหอยสังมาเจียรให้เป็นกำไล เป็นสร้อยไว้สวมใส่บ้าง และจะเรียกสังข์ที่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องประดับตบแต่งร่างกายนี้ว่า “สังขมณี” โดยถือว่าเป็นหนึ่งในมณีสำคัญชนิดหนึ่งที่ชาวฮินดูจัดไว้ในคัมภีร์ครุฑปุราณะ ว่าด้วยเรื่องของอัญมณีที่ใช้แทนดวงดาวเลยทีเดียว

ในครุฑปุราณะกล่าวไว้ว่า สังข์นั้นเป็นของมงคล เป็นอัญมณีตัวแทนของพระจันทร์ มีพลังในการการคุ้มครองดวงชะตาสูง อีกทั้งยังช่วยบรรเทาผลร้ายที่เกิดจากดาวนพเคราะห์ให้เจือจางเบาบางลงได้อีกด้วย โดยสามารถใช้แทนไข่มุกได้

ดังนั้นสังขมณีจึงเหมาะกับทุกคน ไม่จำเป็นว่าต้องเจาจงจำเพาะว่าต้องเป็นคนที่เกิดวันจันทร์เท่านั้น เพราะในตำราได้กล่าวไว้ว่าไม่มีดาวใดเป็นศัตรูกับพระจันทร์เลย ดังนั้นจึงสามารถใส่ได้ทุกคน

แล้วยังมีหอยอีกชนิดหนึ่งซึ่งชาวอินเดียนิยมนำมาทำเครื่องประดับกันมาก ด้วยถือว่าให้ผลเฉกเช่นเดียวกับเปลือกหอยสังข์นั่นก็คือหอยที่บ้านเราเรียกว่า “หอยนมสาว” ชนิดที่ถูกนำมาขัดให้มีสีขาวนวลเป็นมันวาวไม่มีลายอื่นมาปะปน ถือว่าเป็นสังข์ของพระศุกร์ นำมาตัดจุกใช้เป่าเรียกเงินเรียกทองได้อีกด้วย

อัญมณีเสริมจักระ อันเป็นพลังขับเคลื่อนแห่งจักรวาลและในกายมนุษย์



ทัวร์มาลีนนั้นเป็นพลอยที่ทั่วโลกให้การยอมรับ โดยเฉพาะเมื่อปี ค.ศ. 1703 ได้มีพ่อค้าชาวดัชท์ได้นำทัวร์มาลีนจากประเทศศรีลังกาไปสู่ประเทศทางยุโรป แล้วเรียกชื่ออัญมณีนี้ว่า “ทัวร์มาลีน” ซึ่งเป็นชื่อที่แผลงมาจากภาษาสิงหลว่า “ทุรมาลี” ซึ่งแปลว่า หินหลากสี

นั่นก็เพราะทัวร์มาลีนนั้นมีสีสันหลากหลายมากกว่ารัตนชาติในตระกูลอื่นๆ ผลึกแร่ทัวร์มาลีนที่พบจะมีสีตั้งแต่ สีแดง สีชมพู สีส้ม สีเหลือง สีน้ำตาล สีเขียว สีฟ้า สีน้ำเงิน สีม่วง สีเทา สีดำ จนถึงสีขาวใส บางครั้งก็มีหลายสีอยู่ในเม็ดเดียวกัน เรียกได้ว่ามีครบทุกเฉดสีเลยก็ว่าได้



ทัวร์มาลีนนั้นได้ชื่อว่าเป็นอัญมณีแห่งความสุข ความสมดุล ช่วยรักษาระบบการทำงานของประสาท ช่วยในการจดจำ ซึ่งคุณสมบัติตามสีต่างๆ ของทัวร์มาลีนนั้นยังช่วยกระตุ้นจักระในตัวผู้สวมใส่ได้อีก ดังนี้

1. ทัวร์มาลีนที่เป็นเฉดสีแดงและสีชมพู จะช่วยกระตุ้นพลังที่อยู่ในจักระมูลธาร ของร่างกาย ก่อให้เกิดความเข้าใจในสถานการณ์ได้อย่างแท้จริง ทำให้เกิดความสงบนิ่งในท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย นำมาซึ่งเสน่ห์ นำมาซึ่งความรักที่อบอุ่น ทำให้พลังงานชีวิตขับเคลื่อนได้อย่างเต็มที่

2. ทัวร์มาลีนที่เป็นเฉดสีเหลือง สีส้มและสีน้ำตาล จะช่วยกระตุ้นพลังงานที่อยู่ในจักระสวาธิษฐานกับจักระมณีปุระของร่างกาย ช่วยให้การทำงานของฮอร์โมนเพศสมดุล เพิ่มแรงขับเคลื่อนทางเพศ บำรุงรักษาระบบสืบพันธุ์ระบบขับถ่าย แล้วยังสามารถความคุมระดับจิตสำนึกได้ดีอีกด้วย

3. ทัวร์มาลีนเฉดสีเขียว จะช่วยกระตุ้นพลังงานที่อยู่ในจักระอนาหตะของร่างกาย ช่วยให้ระบบสูบฉีดเลือดทำงานดีขึ้น ทำให้ดุอ่อนกว่าวัย มีความคิดสร้างสรรค์ กระตุ้นโชคลาภทางด้านการเงินและความสำเร็จ

4. ทัวร์มาลีนเฉดสีฟ้าและสีน้ำเงิน จะช่วยกระตุ้นพลังงานที่ที่อยู่ในจักระวิศุทธะกับจักระอาชญาของร่างกาย จะช่วยควบคุมประสาทสัมผัสการรับรู้ ควบคุมอารมณืความคิด คลื่นสมอง เพิ่มปัญญาความเฉลียวฉลาด อีกทั้งเพิ่มพลังอำนาจทางจิตด้วย

5. ทัวร์มาลีนเฉดสีม่วง จะช่วยกระตุ้นพลังงานที่อยุ่ในระบบจักระสหัสราระของร่างกาย จะช่วยเพิ่มจินตนาการ ควบคุมอารมณืความคิดให้เป็นระเบียบ ทำให้เกิดปัญญาที่บริสุทธิ์ อีกทั้งทัวร์มาลีนสีม่วงนี้จะช่วยเพิ่มพลังอำนาจทิพย์ให้กับผู้สวมใส่อีกด้วย

6. ทัวร์มาลีนเฉดสีเทาและสีดำ จะช่วยกระตุ้นพลังของจักระพิเศษที่มีชื่อว่ากุณฑลินี (พลังจักรวาลเบื้องล่าง) โดยในเฉดสีนี้จะกระตุ้นพลังเบื้องต้นแห่งการดำรงชีวิตในตัวของมนุษย์ ทำให้สดชื่นมีชีวิตชีวา ทำให้มีพลังในการดำเนินชีวิตต่อไป ช่วขจัดความโศกเศร้า ช่วยดูดซับพลังที่ชั่วร้ายไม่ให้เข้าถึงผู้สวมใส่

7. ทัวร์มาลีนเฉดสีขาวใส จะช่วยกระตุ้นพลังจักระพิเศษกุณฑลินี โดยในเฉดสีขาวนี้ จะช่วยกระตุ้นพลังงานแห่งจักรวาลที่อยู่นอกตัวมนุษย์ อันเป็นพลังงานทิพย์ (พลังจักรวาลเบื้องบน) ซึ่งทัวร์มาลีนสีนี้จะเน้นในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับศีลธรรม และการหลุดพ้น ช่วยในการขับเคลื่อนพลังอันบริสุทธิ์ที่แท้จริงในตัวของมนุษย์ให้ปรากฏออกมา



ถ้าท่านเจ็บป่วยในส่วนใดของร่างกาย นั่นย่อมแสดงว่าจักระในส่วนนั้นบกพร่องก็ควรหาทัวร์มาลีนที่เป็นสีประจำของจักระนั้นมาสวมใส่ จะสามารถช่วยปรับสมดุลของจักระนั้นได้

เหรียญหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน วัตถุมงคลพลังงานควอนตั่มสเคล่าร์ ธาตุกายสิทธิ์มากด้วยพุทธคุณ


พลังงานควอนตั่มสเคล่าร์ เป็นการที่หินลาวาที่เย็นตัวลง ภายหลังที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ เป็นพลังทางชีวภาพที่มีคลื่นพลังสเคลาร์ในระดับที่เหมาะสมและความสมดุลแก่ร่างกาย สามารถเปลี่ยนโมเลกุลน้ำในร่างกายของสิ่งมีชีวิตได้ ยังเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับกระบวนการเผาผลาญธาตุต่างๆในร่างกายของมนุษย์ ข้อสำคัญช่วยให้ฟื้นฟูสภาพร่างกายที่อ่อนแอให้กลับมาเกิดความสมดุลและเกิดความแข็งแรงต่อร่างกาย จึงได้นำเอาหินลาวาที่มีคุณสมบัติพิเศษที่เป็นสื่อกลางในการกักเก็บพลังงานที่ดูดซับพลังงานจากแร่ธาตุภูเขาไฟมาสร้างในรูปแบบวัตถุมงคล”


หลวงพ่อเงิน วัดบางคลานนับเป็นยอดพระเกจิแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ท่านหนึ่งที่เป็นยอดตำนานแห่งพระเถราจารย์ผู้ทรงอภิญญาแห่งเมืองพิจิตร กิติคุณของหลวงพ่อเงิน วัดบางคลานนั้นกล่าวว่าท่านเป็นศิษย์สำคัญท่านหนึ่งของสมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังษี มีพลังจิตแก่กล้าเชี่ยวชาญทั้งสมถะและวิปัสสนา ทรงศีลบริสุทธิ์ และที่กล่าวขวัญเป็นอย่างยิ่งคือเรื่องอภิญญาสมาบัติของท่าน คุณวิเศษเรื่องนี้ร่ำลือในหลายต่อหลายด้านเช่น ท่านบ้วนน้ำหมากรดใครคนนั้นจะไม่มีวันตายโหงสรรพาวุธของมีคม ปืนผาหน้าไม้ไม่มีวันได้กินเลือด หรือทำอันตรายใดๆแก่คนผู้นั้นได้เลย นอกจากนี้ในช่วงชีวิตของหลวงพ่อเงินท่านนั้นได้โปรดญาติโยมไว้มากมายหลายด้านทั้งเรื่องทำน้ำมนต์รักษาโรคภัย ไข้เจ็บ เรื่องวิทยาคมด้านต่างๆ ซึ่งกรมหลวงชุมพรเองก็ทรงเคารพศรัทธาหลวงพ่อเงินเป็นอย่างยิ่ง เพราะเสด็จในกรมท่านได้ไต่ถามกับหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่าว่านอกจากหลวงปู่ศุขแล้วยังมีผู้ใดที่เหนือกว่าท่านอีกหรือไม่ หลวงปู่ศุข ได้กล่าวว่าก็ยังมี หลวงพ่อเงินวัดบางคลาน ที่มีอภิญญาแก่กล้าไม่เป็นสองรองจากใครในแผ่นดิน ทำให้กรมหลวงชุมพรต้องขึ้นไปกราบ แต่ไปครั้งแรกก็หาเจอไม่ มีเพียงแต่ผ้าปูรับรองเสด็จไว้เท่านั้น แสดงให้เห็นว่าหลวงพ่อเงินท่านทราบว่าเสด็จในกรมจะมาแต่ท่านกลับไม่อยู่รอต้อนรับเป็นที่แปลกพระทัยของท่านอย่างยิ่ง เสด็จในกรมต้องเทียวไปหาหลวงพ่อเงิน วัดบางคลานถึง ๖ ครั้งด้วยกันจึงได้พบ ทั้งนี้เพราะหลวงพ่อเงินท่านต้องการลองใจเสด็จในกรมนั้นเองว่าจะมีความพยายามมากเพียงใด เป็นที่ทราบกันว่าเสด็จในกรมสำเร็จวิชาล่องหนหายตัวจากหลวงพ่อเงิน วัดบางคลานแห่งนี้และทุกครั้งที่เสด็จในกรมมาความจริงนั้นหลวงพ่อเงินท่านไม่ได้หนีไปไหนแต่ท่านล่องหนกายจึงทำให้ใครๆไม่เห็นตัวท่าน


ความน่าอัศจรรย์ อิทธิบารมีของหลวงพ่อเงินนั้นมีมากมายกล่าวไม่รู้จบและที่สำคัญคือบารมีหลวงพ่อเงินนั้นอยู่เหนือกาลเวลารูปเหมือนรูปภาพวัตถุมงคลทุกชนิดที่อยู่ในนามของหลวงพ่อเงินนั้นมีอานุภาพเป็นที่น่าอัศจรรย์ทั้งสิ้น ในปี ๒๕๕๒ นี้ทางวัดหนองดง จ.พิจิตรได้จัดสร้างเหรียญหลวงพ่อเงิน วัดบางคลานด้วยวัตถุธาตุทรงพลัง คือ หินลาวาจากใต้พื้นโลกที่ เรียกกันว่า แร่ออบซิเดียม แร่ชนิดนี้ทางนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบแล้วว่าเป็นแร่ที่มีประจุพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าคลื่นความถี่ต่ำ หรือที่เรียกว่า พลังสเคล่าร์ พลังงานชนิดนี้จะมีอำนาจเหมือนกระแสแม่เหล็กไฟฟ้า ที่คลื่นความถี่พอดีกันกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าโลก คลื่นพลังงานชนิดนี้จะปลดปล่อยพลังงานให้แก่ผู้สวมใส่ทำให้สุขภาพดี ปรับธาตุภายในให้สมดุล ให้พลังงานแก่เซลล์ในร่างกายก่อให้เกิดความ กระปรี่กระเปร่า สดชื่นแจ่มใส่ ไม่อ่อนเพลีย บำบัดโรคต่างๆภายในร่างกาย เสริมสร้างภูมิคุ้มกันภายใน ซึ่งนับว่าเป็นพลังงานที่น่ามหัศจรรย์มากๆ



พลังงานจากหินลาวาออบซิเดียมหรือคลื่นพลังงานสเคล่าร์นี้หากจัดแล้วก็เทียบเคียงกับพลังงานของวัตถุธาตุกายสิทธิ์อย่างเหล็กไหล และหยก เพราะพลังงานของแร่ทั้งสองชนิดนี้จะให้พลังงานมากมายแก่ร่างกายผู้สวมใส่ ทำให้อายุวัฒนะ ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ พลังหินลาวาที่เรียกว่าพลังสเคล่าร์ คือพลังงานอันยิ่งใหญ่ที่ซ่อนเร้นอยู่ใต้พื้นพิภพหรือใต้โลก เป็นสนามพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าสำคัญ ที่ทำให้สรรพสิ่งดำรงอยู่ได้ จากการวิจัยพบว่าหากร่างกายมนุษย์หรือสัตว์รวมทั้งพืชมีกระแสแม่เหล็กไฟฟ้าในตัวอ่อนลง จะก่อให้เกิดความอ่อนแอทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทำให้เกิดโรคภัยต่างๆได้ ในตัวของผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงจะมีสนามพลังงาแม่เหล็กไฟฟ้าในตัวสูงกว่าคนปกติ รวมทั้งผู้ที่ฝึกสมาธิจิตเป็นประจำก็จะมีพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าสูงกว่าคนปกติทั่วไป มนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งปวงต่างต้องอาศัยพลังงานจากแม่เหล็กไฟฟ้าโลกในการดำรงอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น



ที่มา http://www.horamahawed.com/content.php?cate=kong_kang&id=6
คดไม้สัก หรือ ไทเกอร์ อาย จัดอยู่ในประเภทของควรอตซ์ เป็นแร่ที่มีความหลากหลายของการเกิดและชนิดมากที่สุด พบได้ในหินอัคนี หินตะกอน และหินแปร เป็นแร่ทนต่อการผุกร่อน และทนต่อการทำลายทางเคมี ทำให้ควรอตซ์ยังคงสภาพอยู่ได้ในรูปของกรวดทรายตามตะกอนทางน้ำและแถบชายทะเล คดไม้สัก หรือ ไทเกอร์ อาย จัดอยู่ในกลุ่มที่มีผลึกหยาบมีความแข็ง เมื่อนำมาเจียรไนจะเกิดความแวววาวสะท้อนแสง พบมากในแถบประเทศอินเดีย พม่า อินเดีย เม็กซิโก อเมริกา นามิเบีย ออสเตรียเลีย และอาฟริกา


การนำแร่ หรือหินต่างๆ นำมาเป็นเครื่องประดับเพื่อความสวยงาม และยังนำมาเป็นเครื่องรางของขลัง ซึ่งมีมาช้านานตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบัน หินสีต่างๆ ได้ถูกนำมาใช้เพื่อการติดต่อกับวิญญาณหรือเทพเจ้า รวมถึงพิธีกร รมความเชื่ออื่นๆของเชื่อของมนุษย์ หินมีความสัมพันธ์กับปีเกิด และช่วยเสริมดวงในด้านต่างๆ มนุษย์นั้นได้ใช้ประโยชน์และคุณค่าของหิน และศึกษาค้นคว้าถึงความมหัศจรรย์ที่ซ้อนเร้นมานานนับหมื่นๆปีนับได้ว่าหินนั้นเป็นศาสตร์อีกโลกหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามและท้าทายหรืองลองดี .... ซึ่ง คดไม้สัก หรือ ไทเกอร์ อาย นั้นจัดอยู่ในแร่ หรือหิน เช่นชาวอียิปต์โบราณรู้จักความมหัศจรรย์ของหินในพลังแห่งอำนาจ เป็นยารักษาโรค ชาวอินเดียแดง เชื่อว่ามีวิญญาณสิงสถิตย์อยู่ในหิน และเป็นยาบำบัดรักษาโรค ชาวจีนก็นิยมใช้หินใช้เป็นเครื่องประดับ เพื่อเป็นเครื่องรางให้อายุยืนยาว และในอเมริกากลางนำมาใช้เป็นยา และในความเชื้อของหลายเผ่าพันธุ์วาหินนั้นมีชีวิต

   

คดไม้สัก หรือ ไทเกอร์ อาย เป็นหินคว้อทซ์หินสีเหลือง หรือน้ำตาลทอง มีคุณสมบัติสามารถดึงดูดความมั่งคั่งความร่ำรวย ป้องกันอันตรายทำให้จิตใจที่มีความทิฐิ ดื้อดึง ให้เกิดความอ่อนโยน ช่วยให้หลังหญิงชายสมดุลกันทำให้ปัญญาหาทางเพศหมดไป จิตใจผ่อยคลาย จิตใจไม่สับสนไม่วุ่นวายเป็นระเบียบ เป็นหินที่หึความคุ้มครองและป้องกันตัวสูงมากจากคุณไสย – สิ่งลี้ลับ ป้องกันการถูกสาปแช่งจิตใจที่มุ่งร้ายที่จะทำให้เกิดความเจ็บป่วย ป้องกันภาวะจิตใจที่ไม่รู้สึกตัวหรือกำลังนอนหลับภาวะที่กำลังฝันอยู่ หากพกคดไม้สัก หรือ ไทเกอร์ อาย ไว้กับตัวจะทำให้มีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้าม กระตุ้นพลังชีวิต ส่งเสริมสุขภาพให้กระชับกระเฉง ความมีระเบียบ ความมีวินัย สุขุม ความมั่นคงของจิตใจและร่างกาย เปิดระบบไหลเวียนของโลหิตให้เป็นระบบและคงที่


คดไม้สัก หรือ ไทเกอร์ อาย เป็นหินแห่งความสมดุลย์ เนื่องจากทำให้พลังมีอำนาจตรงกันข้ามกันมีสภาวะเป็นกลางทำให้เกิดความเข้าใจกัน และเป็นหินที่เหมาะสำหรับบุคคลที่อยู่ในสภาวะเป็นกลาง หรือผู้ที่มีบทบาทไกล่เกลี่ยในสถานการณ์ที่จะก่อให้เกิดความรุนแรงให้คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น สุดท้ายนี้ทำให้เกิดการมองเห็นเห็นเหตุการณ์ได้อย่างทะลุปรุโปร่งช่วยตัดสินด้วยความยุติธรรมตามความเป็นจริง หากใช้ในการเข้าสมาธิแล้วจะช่วยให้พบหนทางระหว่างพลังงานที่แตกต่างกันมาพบกันและเกิดพลังงานที่เข้มแข็งช่วยในการติดต่อพลังงานธาตุดินจะทำให้เกิดความช่วยเหลือ หรือเข้าถึงพลังงานของจักรวาลที่สูงขึ้นเมื่อทำสมาธิทุกวันจะทำให้เกิดผลดียิ่งขึ้น

คดไม้สัก หรือ ไทเกอร์ อาย มีลักษณะพิเศษคือมีเส้นใยอยู่ภายใน และมีด้วยกันหลายสี เหลืองทอง และน้ำตาลทอง เนื้อของหินบางส่วนมีพื้นเป็นสีดำ ยิ่งจะทำให้สีเหลืองทองที่ปรากฏโดเด่นมากยิ่งขึ้น เส้นใยในเนื่อหินจะเป็นเส้นริ้วและอัดตัวกันแน่นเป็นกลุ่มเรียงตัวในแนวเดียวกัน บางอันมีสายคล้ายลายไม้ นิยมนำ คดไม้สัก หรือ ไทเกอร์ อาย มาทำเป็นเครื่องประดับ ทำเครื่องตกแต่งของชนชั้นสูง ทำวัตถุมงคล และเครื่องราง

ที่มา http://www.horamahawed.com/content.php?cate=kong_kang&id=5
Free advertising
top